โรคอ้วน (ตอนที่ 2)

อ้วนแล้วจะลดน้ำหนักได้อย่างไร


            การลดน้ำหนักที่ได้ผลดีที่สุด ต้องทำร่วมกันระหว่างการควบคุมอาหารที่ทานเข้าไป กับการออกกำลังกาย หากทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งมักไม่ได้ผลดี
            การควบคุมอาหาร ที่แนะนำโดยทั่วไปคือกินอาหารครบ 5 หมู่ตามธรรมดา แต่ลดปริมาณในแต่ละมื้อลง โดยเฉพาะมื้อเย็น ควรทานเป็นอาหารเบาๆ พลังงานต่ำ ไม่ควรอดอาหารเป็นมื้อๆ เพราะจะทำให้หิวและทานมากขึ้นในมื้อต่อไป ควรเน้นทานผัก เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่นไขมัน และน้ำตาล เช่น น้ำผลไม้ น้ำอัดลม น้ำหวาน ไอศครีม ช็อคโกแล๊ต ขนมหวานต่างๆ ผลไม้หวานจัด เป็นต้น
            ปัจจุบัน มีการแนะนำให้กินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำกว่า 20 กรัม (หรือข้าวประมาณ 1 ทัพพี) ต่อวัน โดยสามารถกินอาหารอื่นๆ ได้ตามต้องการ หรือที่เรียกกันย่อๆว่าอาหาร โลว์คาร์บ (Low carbohydrate diet) วิธีนี้พบว่าได้ผลดีในช่วงสั้น เพราะระยะแรกๆ น้ำหนักจะลดได้ดีกว่าการลดพลังงานทั่วไป แต่หลัง 6 เดือนไปแล้ว พบว่าอัตราการลดน้ำหนัก เท่าๆ กับการกินอาหารพลังงานต่ำทั่วไป และมีปัญหาแทรกซ้อนได้มากกว่า จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนหากจะลดน้ำหนักโดยวิธีนี้
            การออกกำลังในคนอ้วน ควรเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายต่อเนื่องกันอย่างน้อย ½ ชั่วโมงต่อวัน แต่จะให้ได้ผลดีควรออกกำลัง 1-1½ ชั่วโมงทุกวัน หากน้ำหนักมาก ควรหลีกเลี่ยงการวิ่ง หรือกระโดด ซึ่งจะทำให้กิดปัญหาเรื่องข้อเข่า ข้อเท้าได้

มีวิธีลดน้ำหนักอื่นอีกไหม
          ถ้ามี BMI มากกว่า 27 กก./ม2 หรือมีโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง แพทย์อาจให้ยาช่วยลดน้ำหนัก ซึ่งมีอยู่ 2 กลุ่มคือยาที่ทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น หรือยาที่ลดการดูดซึมไขมันจากอาหาร ยาทั้ง 2 แบบมีราคาแพง และเมื่อหยุดยา น้ำหนักตัวก็จะเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นถ้าควบคุมอาหารและน้ำหนักตัวได้เองจะดีกว่า
            ในกรณีที่ BMI มากกว่า 35 กก./ม2 หรือมีโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง มีการรักษาโดยการผ่าตัดให้กระเพาะอาหารเล็กลง ทำให้หลังอาหารผู้ป่วยจะสามารถกินอาหารได้เพียงเล็กน้อยในแต่ละมื้อ น้ำหนักจึงลดลงได้ แต่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารไปตลอดชีวิตเช่นกัน
            คนที่อ้วน การลดน้ำหนักจะทำได้ยาก ดังนั้นทางที่ดีที่สุด คือคอยเฝ้าระวังน้ำหนักตัว อย่างปล่อยให้อ้วน โดยการระวังเรื่องอาหารที่ทาน ร่วมกับการออกกำลังให้สม่ำเสมอ เป็นการป้องกันดีกว่ามาแก้ไขทีหลัง

>> โรคอ้วน ตอนที่ 1

0 ความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น

บทความสุขภาพที่เีกี่ยวข้อง