วิธีลบรอยแผลเป็นจากสิวด้วยแอปเปิ้ลเขียว

ไม่น่าเชื่อว่าแอปเปิ้ลเขียวที่เราทานกันอยู่นี้จะมีคุณสมบัติในการลบรอยแผลเป็นจากสิวได้ด้วย วันนี้เราีมีเคล็ดลับดีๆ ในการลบรอยแผลเป็นจากสิวด้วยแอปเปิ้ลเขียวมาฝากน่ะครับ เรามาดูวิธีการทำกันเลยครับ



วิธีลบรอยแผลเป็นจากสิวด้วยแอปเปิ้ลเขียว 
  • เริ่มต้นด้วย การล้างหน้าให้สะอาด ใช้ผ้าซับให้แห้ง 
  • จากนั้นนำเนื้อแอปเปิ้ลเขียวครึ่งผล ผสมกับน้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ บดรวมกันให้ละเอียดจนเป็นเนื้อเดียวกัน
  • ทาให้ทั่วใบหน้า เน้นบริเวณที่เป็นแผลเป็น 
  • ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วล้างออก 
สูตรนี้สามารถทำได้ทุกวันน่ะครับ เพียงเท่านี้รอยแผลเป็นจากสิวก็จะจางลง นำไปทดลองใช้กันได้น่ะครับ

ที่มา: http://www.ranthong.com

ผลไม้ช่วยรักษาสิว

สิวกับผลไม้

ผลไม้สำหรับช่วยรักษาสิว: บทความนี้แปลมาจากบทความที่ฝรั่งเค้าเขียนเอาไว้น่ะครับ เกี่ยวกับวิธีรักษาสิวด้วยการรับประทานผลไม้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมมีประโยชน์หากเราได้รับแต่พอดี หากได้รับเยอะเกินไปก็อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ วันนี้จึงอยากจะนำเรื่อง ผลไม้ที่ช่วยรักษาสิว มาเล่าสู่กันฟังครับ


ในช่วงที่ผมกำลังหาวิธีรักษาสิวของตัวเองอยู่นั้น มีหมอจีนคนนึงแนะนำว่า "ถ้าอยากหายจากการเป็นสิว คุณควรจะรับประทานส้มทุกวันตอนเช้า แล้วคุณจะไม่พบกับปัญหาเรื่องสิวอีกเลย" เชื่อมั้ยว่า หลังจากที่ผมลองทำตามที่หมอจีนคนนั้นแนะนำ มันทำให้ผู้รู้สึกว่าระบบขับถ่ายของผมดีขึ้น และเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าหากร่างกายเรามีระบบขับถ่ายที่ดี และร่างกายทำงานเป็นปกติ ก็จะทำให้ไม่เป็นสิว ดังนั้น ทำให้ผมมานั่งนึกๆ ดูว่ามันมีผลไม้อะไรบ้างมั้ยที่รับประทานเข้าไปแล้ว สามารถช่วยรักษาหรือช่วยลดสิวลงไปได้บ้าง และผมยังนึกต่อไปว่า ถ้างั้น หากเรารับประทานเฉพาะผลไม้ ร่างกายเราคงดีแน่ๆ คงจะไม่เป็นสิวอีกต่อไปเลย แต่หารู้ไม่ว่า หากรับประทานอะไรอย่างเดียวเยอะๆ เกินความจำเป็น ไม่ได้ก่อประโยชน์ใดๆ เลย มีแต่จะเกิดโทษต่อร่างกาย
แอปเปิ้ล
เกรปฟรุต


 รับประทานผลไม้มากเกินไปทำให้เกิดสิวได้

จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายคุณหากคุณรับประทานผลไม้มากเกินไป นั่นก็คือ ร่างกายคุณจะได้รับประมาณน้ำตาลจำนวนมาก นอกจากนั้น การรับปทานผลไม้เยอะจะทำให้ร่างกายคุณมีสภาวะเป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการให้เกิดขึ้นกับร่างกายเรา ดังนั้น หลังจากที่ผมทราบเรื่องนี้แล้ว จึงเริ่มปรับการรับประทานอาหาร โดยเพิ่มอาหารจำพวกผักสดเข้ามา จะช่วยให้ร่างกายเกิดสมดุลมากยิ่งขึ้น ด้านล่างนี้เป็นรายชื่อผลไม้ที่สามารถช่วยรักษาสิวได้ หากเรารับประทานแต่พอดี

  • อาโวคาโด้
  • กีวี
  • แอปเปิ้ล
  • ส้ม
  • องุ่น
  • ลูกแพร์
  • เกรปฟรุต

กีวี
การรับประทานผลไม้ในปริมาณที่พอเหมาะในแต่ละวันย่อมดีต่อร่างกายของคุณ เนื่องจากผลไม้ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารของคุณดีขึ้น ทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายสมดุล ช่วยเพิ่มน้ำในร่างกาย และยังให้วิตามินที่จำเป็นต่างๆ ต่อร่างกายอีกด้วย ข้อแนะนำคือ อย่ารับประทานมากจนเกินไป ส่วนใหญ่แล้วผมจะรับประทานประมาณวันละ 2 ครั้ง ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นส้ม ไม่ก็แอปเปิ้ล แต่ว่าถ้าคุณจะรับประทานผลไม้ตามรายการข้างบนที่ช่วยรักษาสิว ก็อย่าลืมรับประทานพวกผักสดด้วย เพื่อควบคุมให้ร่างกายไม่ได้รับน้ำตาลมากเกินไป



ที่มา http://thaiacnecare.blogspot.com/2012/03/fruits-for-acne.html

ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว ช่วยรักษาสิวได้จริงหรือไม่?

คำถาม: ดื่มน้ำเยอะๆ สามารถรักษาสิว หรือป้องกันสิวได้จิงหรือไม่? และ ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว จะช่วยให้ผิวหน้าสะอาด ใส จริงหรือไม่?


คำตอบ: คำตอบคือ ไม่ ในทางทฤษฏีฟังแล้วเหมือนดูดี แต่จริงๆ แล้วมันยังไม่ถูกต้องเท่าไหร่ เพราะยังไม่มีการศึกษาตามหลักวิชาการใดๆ พิสูจน์ได้ว่าการดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว จะทำให้ผิวสะอาด ใส และสุขภาพดี มันเป็นเพียงความเชื่อที่พูดต่อๆ กันมาเพียงเท่านั้น

ดื่มเมื่อตอนกระหายน้ำ
การดื่มน้ำควรดื่มเมื่อคุณกระหายน้ำ หากคุณไม่กระหายน้ำ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดื่ม

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว
ปัจจัยที่ทำสิวเกิดมากขึ้นได้แก่ ความเครียด ภาวะไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย และความผิดปกติของระบบย่อยอาหาร

การดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นสิ่งที่สำคัญ
แม้ว่าเราจะไม่จำเป็นจะต้องดื่มน้ำให้ครบวันละ 8 แก้ว แต่เราก็ต้องดื่มน้ำให้เพียงพอกับปริมาณที่ร่างกายต้องการ เพราะน้ำถือว่าเป็นสิ่งที่ร่างกายไม่สามารถขาดได้ สำหรับใครที่กำลังดูแลสุขภาพให้ดีขึ้น น้ำถือว่าเป็นเครื่องดื่มหลักที่ควรดื่ม มากกว่าพวกเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรือน้ำอัดลม

ที่มา: http://healing.about.com/od/diets/f/acne-water.htm

6 วิธี “นวดตัวเอง” แก้ปวดคอจากการตกหมอน

เมื่อท่านมีปัญหาปวดคอจากการตกหมอน ให้ เริ่มต้น ด้วยการใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างถูไปมาที่บริเวณต้นคอจนกระทั่งเกิดความรู้สึก ร้อน เพื่อกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อต้นคอ และทำให้การไหลเวียนของโลหิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 แก้ปวดคอจากการตกหมอน
จากนั้นวิธีที่สอง ประสานมือเข้าหากันที่บริเวณต้นคอ แล้วขยับแขนทั้งสองข้างเข้าหากันเพื่อบีบฝ่ามือไปตรงจุดต่างๆ ที่มีปัญหา จะเป็นตรงกลางหรือด้านข้างก็สุดแล้วแต่ว่าจะมีปัญหาหรือไม่ บีบและคลายออกต่อเนื่องเป็นระยะๆ ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้ว วิธีการแบบนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เฉพาะเมื่อมีปัญหาปวดคอแต่อย่างใด หากแต่สามารถใช้วิธีนี้นวดเพื่อบริหารกล้ามเนื้อเป็นประจำทุกวันก็ได้

วิธีที่สาม เป็นการกดจุดสำคัญที่บริเวณท้ายทอย โดยใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้กดลงไปที่ “จุดฟงฉือ” ที่อยู่สองข้างของต้นคอ ซึ่งจุดนี้สังเกตง่ายๆ คือจะอยู่ตรงบริเวณรอยเชื่อมต่อระหว่างศีรษะกับต้นคอด้านบน กดแล้วผ่อน กดแล้วผ่อนต่อเนื่องประมาณสัก 1 นาที

อย่างไรก็ตามนอก จากจุดฟงฉือแล้ว ยังสามารถใช้นิ้วมือกดลงไปตรงจุดที่มีปัญหาหรือจุดที่สร้างความเจ็บปวดให้ กับเราได้อีกด้วยโดยไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด

วิธีที่สี่ ให้ใช้มือขวาไปจับที่เส้นกล้ามเนื้อบริเวณหัวไหล่ด้านซ้าย นวดไปตรงเส้นที่เชื่อมต่อจากลำคอต่อเนื่องมาถึงหัวไหล่ ใช้แรงบีบลงไป เสร็จแล้วให้ใช้มือซ้ายไปจับที่เส้นกล้ามเนื้อบริเวณหัวไหล่ขวา นวดสลับสับเปลี่ยนกันไปเพื่อทำให้เลือดลมไหลเวียนได้สะดวก

วิธีที่ห้า ใช้ฝ่ามือถูต้นคอเพื่อให้เกิดความอุ่นร้อนอีกครั้ง ซึ่งถ้าจะให้ดีก็สามารถทายาหม่องสมุนไพรลงไปด้วยก็ได้ เพราะนอกจากจะช่วยบำบัดอาการปวดคอแล้ว ยังสามารถลดการระคายเคืองจากการนวดได้อีกด้วย

และสุดท้าย วิธีที่หก ใช้หัวแม่มือกดที่ “จุดลั่วเจิ่ง” ซึ่งอยู่ตรงร่องกลางของต้นคอจากนั้นให้หมุนคอเป็นวงกลมจากซ้ายไปขวา โดยเมื่อกดลงไปแล้วจะรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้น แต่ถ้ากดแล้วเจ็บก็ต้องผ่อนแรงลงมา

เป็นไงครับ สำหรับ 6 วิธีง่ายๆ ในการนวดตัวเองเพื่อแก้อาการปวดคอจากการตกหมอน ไม่ยากใช่ไหมครับ ซึ่งถ้าหากทำตามหลักที่แนะนำไปทั้งหมด ก็จะสามารถช่วยในเรื่องนี้ หรือในรายที่ยังไม่ปวดคอ ก็สามารถนวดบริหารตามวิธีทั้ง 6 ก็ได้ ไม่ผิดกติกาประการใด

อย่างไรก็ตาม ก่อนจากกันในสัปดาห์นี้ หมออยากฝากแง่คิดหรือคำแนะนำเพิ่มเติมเพื่อ “ป้องกัน” อาการปวดคอที่อาจจะเกิดขึ้นกับทุกคนได้สักนิด เพราะถ้าหากเราดูแลรักษาคอของเราให้ดีแล้ว ปัญหาก็อาจจะไม่เกิดขึ้น หรือถ้าเกิดขึ้นก็ไม่รุนแรงอะไร

ข้อควรจำประการแรกคือ ต้องหมั่นบริหารคอเป็นประจำเพื่อให้คอเกิดความแข็งแรง ขณะเดียวกันต้องจำให้ขึ้นใจด้วยว่า เวลานอน อย่านอนหมอนที่สูงเกินไป แข็งเกินไป รวมทั้งเวลานอน ไม่ว่าจะนอนหงาย นอนคว่ำ หรือนอนตะแคง ต้องให้ศีรษะมีความสมดุล ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง

สำหรับในรายที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ ไปในประเทศที่มีอากาศเย็น เวลานอนต้องพยายามห่มผ้าให้ถึงบริเวณต้นคอด้วย ไม่เช่นนั้นแล้ว ความเย็นอาจแทรกซึมเข้ามาทำร้ายต้นคอและทำให้เกิดการปวดคอได้

แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ เมื่อเกิดอาการปวดคอขึ้นมาอย่าปล่อยปละละเลย ต้องรีบหาทางรักษาตัวเองเบื้องต้น และถ้าไม่หายต้องรีบไปพบหมอในทันที….

การนอนกับอาการปวดหลัง

การนอนกับอาการปวดหลัง
ท่านอน ถือเป็นท่าที่หมอนรองกระดูกสันหลังรับแรงน้อยที่สุด ดังนั้นท่านอนจึงเป็นท่าพักผ่อนที่ดีที่สุด บางคนเมื่อศีรษะถึงหมอนก็หลับสบายจนถึงเช้า อาจไม่สนใจว่าตนเองจะนอนท่าไหน รู้ตัวอีกทีตื่นมาตอนเช้าพบว่าเกิดอาการปวดหลัง หรือหันหน้าซ้ายขวาไม่ได้เลย จนต้องรีบไปหาหมอ
การนอนกับอาการปวดหลัง
ท่านอนของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป บางคนชอบนอนหงาย บางคนก็ชอบนอนตะแคง หรือบางท่านอาจชอบนอนคว่ำก็มี เราลองมาดูกันว่าท่านอนแต่ละท่านั้น มีความแตกต่างกันอย่างไร และควรนอนในแต่ละท่าอย่างไรให้ถูกต้อง

 ท่านอนหงาย โดยมีหมอนหนุนใต้ข้อเข่า ให้ข้อสะโพกงอเล็กน้อย ท่านี้ถือว่าเป็นท่านอนที่เหมาะ หรือเป็นท่าที่ลดแรงกดของหลังได้ดี ส่วนที่ศีรษะควรมีหมอนเตี้ยๆ นุ่มๆ หนุนให้รู้สึกสบาย
 ท่านอนตะแคง เป็นท่าที่ดีอีกท่าหนึ่ง โดยเฉพาะหากได้งอเข่าข้างหนึ่ง และมีหมอนข้างกอดไว้ หรือจะงอเข่าทั้งสองข้างในท่าคู้ตัวก็ได้ สำหรับหมอนที่ใช้หนุนในท่านี้ควรมีความหนามากพอที่จะให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียว กันกับลำตัว หากใช้หมอนเตี้ยเกินไป ศีรษะจะเอียงลงหรือหาหมอนที่มีความสูงเท่าหรือใกล้เคียงกับระยะจากระดับด้าน ข้างของศีรษะไปถึงแนวระดับไหล่ เมื่อหนุนแล้ว จึงทำให้แนวของกระดูกสันหลังส่วนคออยู่ในแนวเดียวกับกระดูกสันหลังส่วนอกและ ส่วนเอว
 ท่านอนคว่ำ ถือว่าเป็นท่าที่ไม่ดี เพราะการนอนคว่ำนั้นจะทำให้กระดูกสันหลังส่วนเอวโค้งไปทางด้านหน้ามากขึ้น นอกจากนี้ เวลาเรานอนคว่ำก็ต้องตะแคงหน้าไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งจะทำให้กระดูกต้นคอบิดไปด้วย
นอก จากเรื่องของท่านอนที่เป็นสาเหตุของอาการปวดหลังแล้ว องค์ประกอบอื่นๆ อย่างหมอนหรือที่นอนก็มีส่วนสำคัญต่อสุขภาพหลังของคนเราด้วยเช่นกัน
 หมอนที่ใช้หนุนคอ ถือว่ามีส่วนช่วยรองรับกระดูกสันหลังส่วนคอให้อยู่ในแนวโค้งที่ปกติ เพราะในขณะที่หลับ กล้ามเนื้อรอบๆ คอจะคลายตัว หากคออยู่ในท่าที่ไม่ดี ตื่นมาอาจปวดคอหรือคอแข็งได้ ดังนั้น หมอนที่ใช้ควรมีความนุ่มและขนาดพอดี โดย ทั่วไปหมอนมาตรฐานควรมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 นิ้ว แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นคนคอสั้นหรือคอยาว เพราะถ้าคุณเป็นคนคอยาวมากไป การใช้หมอนมาตรฐานก็จะทำให้ศีรษะอยู่ในท่าที่แหงนมากเกินไป
มีผู้ป่วยไม่น้อยที่มาพบแพทย์ด้วยเรื่องปวดต้นคอ หรือคอแข็งโดยไม่คิดว่าสาเหตุเกิดจากหมอนที่ตนเองใช้อยู่ แต่ การที่จะบอกว่าหมอนแบบไหน หรือใบใดที่จะเหมาะกับใครนั้น เห็นทีจะยากสักหน่อย แต่ก็มีหลักง่ายๆ คือ เมื่อคุณหนุนหมอนใบนั้นแล้วรู้สึกสบายคอ หรือตื่นมาแล้วไม่มีอาการปวดเมื่อยต้นคอให้เป็นที่รำคาญใจ ก็ถือว่าเพียงพอ และไม่จำเป็นว่าต้องมีราคาแพงเสมอไปนะครับ หมอนราคาถูกๆ แต่เป็นขนาดที่เหมาะกับคุณ ก็จะสามารถรองรับศีรษะและกระดูกสันหลังส่วนคอให้กับคุณได้ดีทีเดียว
 ที่นอน สำหรับที่นอนที่ยัดด้วยนุ่น ที่คนไทยเราใช้กันอยู่นั้น เป็นที่นอนที่เหมาะอยู่แล้ว เพราะไม่แข็งหรือนุ่มจนเกินไป แต่ สำหรับที่นอนฟองน้ำที่ใช้กับเตียงสปริง ถือว่าเป็นที่นอนที่ไม่เหมาะกับสุขภาพหลัง หรือสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลัง เพราะมีความนุ่มหรืออ่อนตัวมากเกินไป ทำให้กระดูกสันหลังอยู่ในแนวที่ผิดปกติ
บางคนเข้าใจผิดว่า การนอนที่นอนแข็งๆ เช่น บนไม้กระดาน, เสื่อ หรือนอนกับพื้น จะช่วยลดอาการปวดหลังได้ จริงๆ แล้วไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ ที่นอนที่ถูกควรมีลักษณะที่เรียกว่าแน่น หรือเป็นที่นอนที่ยัดนุ่น ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
เหล่านี้เป็นเพียงองค์ประกอบในการนอน ที่จะช่วยป้องกันและรักษาอาการปวดหลังแต่ถ้าหากสาเหตุการปวดหลังของคุณเกิด จากอุบัติเหตุหรือเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ หรือแม้กระทั่งจากความเครียด คุณก็คงต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและให้การรักษาที่ถูกต้องต่อไป

ที่มา:hilight.kapook.com

7 วิธีลดอาการปวดหลัง ให้หนุ่มและสาวออฟฟิศ

7 วิธีลดอาการปวดหลัง ให้หนุ่มและสาวออฟฟิศ ทำได้ครบ 7 ข้อเมื่อไหร่ อาการปวดหลังจะค่อยๆ ห่างหายไปเอง


ช่วงนี้มีความรู้สึกว่าปวดเมื่อยเนื้อตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ เลยลอง เข้าไปหาวิธีต่างๆทางอินเตอร์เน็ตเพื่อรักษาตัวเองแบบเบื้องต้นดู จึงได้พบวิธีการรักษาอาการปวดหลังที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกๆ คน โดยเฉพาะหนุ่ม สาวออฟฟิศที่ต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ จะมักพบอาการเหล่านี้มากเป็นพิเศษ เลยอยากนำมาเล่าสู่กันฟัง วิธีง่ายๆเพื่อสุขภาพค่ะ

ดร.โอ๊ต บูรณะสมบัติ นายกสมาคมการแพทย์ไคโรแพรกติกแห่งประเทศไทย เผยว่าตอน นี้โรคปวดหลังกลายเป็นโรคฮิตของคนเมืองที่ ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันเพราะต้องนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่หน้าจอ คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ส่งผลให้คนกรุงวันนี้มีปัญหาเรื่องกระดูกสันหลังมากขึ้น ในอเมริกาสถิติการบาดเจ็บจากอาการปวดหลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นหนึ่งในสาเหตุใหญ่ที่คนอเมริกันส่วนใหญ่นำไปใช้เพื่อ ขอลาป่วยมากขึ้นเป็นอันดับสองรองจากโรคหวัด
การนั่งอยู่ในรถนานๆ ขณะรถติด หรือต้องขับรถไปธุระไกลๆ เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้โรคปวดหลังระบาดหนักในกลุ่มคนเมือง คนไข้กว่า 90 % ที่มารับการรักษามีปัญหาจากการปวดหลัง โดยมีสาเหตุต่างๆ กัน เช่น การนั่งทำงานผิดท่าทาง อุบัติเหตุจากการเล่นกีฬาไม่ถูกท่าทาง
นอกจากนี้ ชีวิตประจำวันของหนุ่มสาวออฟฟิศ ที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลายาวนาน ซึ่งเป็นท่าทางของร่างกายที่ต้องใช้หลังมากขึ้นกว่าเดิมและการให้เวลากับการ ออกกำลังกายน้อยลง รวมถึงการดูแลสุขภาพน้อยเกินไป ล้วนเป็นสาเหตุทำให้เกิดการปวดหลังเรื้อรังได้ ดร.โอ๊คกล่าว
วิธีการลดปัญหาเรื่องปวดหลังของคนทำงานออฟฟิศ ทำได้โดย
1. ควรเลือกขนาดของโต๊ะเก้าอี้ให้เหมาะสม และพอดีกับสรีระ
2.ไม่ควรใช้เก้าอี้สปริงที่เอนได้ เก้าอี้แบบนี้ไม่ได้มีการรองรับหลังเท่าที่ควร ควรเลือกเก้าอี้ที่สามารถเอนได้ ความสูงของเก้าอี้และโต๊ะต้องได้ระดับกัน
3. คอมพิวเตอร์ ที่ใช้ต้องมีการปรับจอให้อยู่ในระดับสายตา คือกึ่งกลางของจออยู่ที่ระดับสายตาของเรา การพิมพ์งาน แป้นคีย์บอร์ดควรอยู่ในระดับข้อศอก ข้อมือ จะได้ไม่ต้องยกแขนขึ้นมาพิมพ์
4. การใช้เม้าท์ ถ้าต้องใช้งานมาก ควรจะเป็นเม้าท์แบบ “แทรกกิ้งบอล” หรือไร้สาย ที่สามารถนำมาใกล้ตัวได้และสามารถใช้ได้ถนัดโดยไม่ต้องยื่นแขนออกไป
5.ไม่ควรนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานมากไป ควรจะเบรกทุก ชั่วโมง หรือ 45 นาทีเพื่อพักผ่อนอิริยาบถ
6. ควรนั่งเก้าอี้ให้เต็มก้น ซึ่งสาวออฟฟิศส่วนใหญ่ชอบนั่งแค่ครึ่งหรือปลายเก้าอี้
7.ควร ออกกำลังกายหรือบริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอ วิธีง่ายๆ ก็คือการบีบนวดต้นคอ ยืดกล้ามเนื้อคอ หรือเอียงซ้าย-ขวา ก้มและเงยหน้า ฯลฯ แต่ละท่าควรทำค้างไว้สัก 10 วินาที เพื่อให้กล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นยืดตัวได้
ทำได้ครบ ข้อเมื่อไหร่ อาการปวดหลังจะค่อยๆ ห่างหายไปเอง

บทความจาก www.nongmaiclub.com

วิธีลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้า

ใครที่เป็นแผลขรุขระบนใบหน้า และอยากลดรอยแผล วันนี้เรามีวิธีมาบอก…

วิธีลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้า
1. การใช้ยาทา แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาทา ในกรณีที่เป็นไม่มากนัก หรือใช้ร่วมกับวิธีอื่น ๆ ยาที่ใช้มักเป็นยาในกลุ่มวิตามิน A โดยตัวยาจะไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้รอยแผลตื้นขึ้น
2. การจี้ด้วยน้ำยา TCA เพื่อกระตุ้นในรอยแผลมีการสร้างเซลล์ หลังการจี้จะเกิดสะเก็ดดำ ๆ อยู่ประมาณสัปดาห์ แล้วจึงหลุดไปเอง แต่ว่าห้ามแกะเด็ดขาด
3. การรักษาด้วย ไอออนโต (IONTO) เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าขับตัวยา ซึ่งนิยมใช้ คือกลุ่มวิตามิน A เข้าไปในผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ เพื่อให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น
4. การรักษาด้วย โฟโน (PHONO) เป็นการใช้คลื่นเสียงขับยาเข้าไปในผิวหนัง โดยใช้ยาในกลุ่มวิตามิน A บำรุงและสร้างใยคอลลาเจน
5. การรักษาด้วยวิธี MD (MICRODERMABRASION) เป็นการผลัดผิวใหม่โดยใช้เครื่องมือพ่นผงคริสตัลลงไปยังผิวหน้า เพื่อขัดผิว ส่วนคราบไคล และหนังกำพร้าชั้นบนออกไป แล้วจึงใช้ตัวยาเร่งการสร้างเซลล์ใหม่ ขึ้นมาทดแทน ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น
6. การรักษาด้วยวิธีการกรอแผลโดยใช้เครื่องเลเซอร์ ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น แต่ต้องใช้เวลาในการรักษาแผลค่อยข้างนาน
7. การฉีดสารสังเคราะห์โดยแพทย์ จะฉีดสารสังเคราะห์ เช่น อาติคอล หรือสาร HA เข้าไปในรอยแผล เพื่อให้รอยแผลเต็มขึ้น
เพียงเท่านี้ก็ลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้าได้แล้ว.
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

สระ - เซ็ตผมอย่างไร ให้เปล่งประกายถึงขีดสุด

สาว ๆ ที่เกิดมาพร้อมกับผมสุขภาพดีที่พลิ้วสลวย และเป็นประกาย นับว่าโชคดีมาก ๆ คุณมีผมแบบที่ผู้หญิงคนไหน ๆ ก็อิจฉา แต่ใครที่ผมไม่สวยอย่างที่ว่าก็ใช่ว่าจะเกิดมาอาภัพเสียเมื่อไหร่ ในเมื่อตอนนี้มีเรามีตัวช่วยทั้งอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ทำผมต่าง ๆ ที่จะทำให้ผมของคุณสามารถเปล่งประกายได้อย่างเต็มที่ แต่ทั้งนี้ก็ต้องรู้เคล็ดลับและวิธีใช้กันสักหน่อย   


  ขั้นตอนที่ 1 : สระผม

          เริ่มต้นกันด้วยการสระผม ที่ต้องเลือกใช้แชมพูให้ถูกสูตร ชมพูสูตรเพิ่มประกายความเงางามมีวางขายอยู่มากมาย แต่เพื่อความเงางามอย่างสุขภาพดี คุณก็ต้องเพิ่มความชุ่มชื้นไปพร้อม ๆ กันด้วย การสระผมแล้วนวดผมทิ้งไว้ระหว่างอาบน้ำ ก่อนจะล้างออกเมื่ออาบน้ำเสร็จ จะทำให้เส้นผมคุณได้รับการบำรุงพร้อมทั้งความชุ่มชื้น และความเป็นประกายเลยล่ะ

   ขั้นตอนที่ 2 : ซับให้แห้ง

          ซับผมให้แห้งด้วยผ้าขนหนู หรือผ้าไมโครไฟเบอร์ซึ่งซึมซับน้ำได้ดี การซับผมให้แห้งสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในเส้นผมได้ ดีต่อสุขภาพมากกว่าการการใช้ไดร์เป่าผมที่จะนำความชุ่มชื้นบางส่วนออกไป ตามหลักการทำผมที่ดี คุณควรจะซับผมให้แห้งอย่างน้อย ร้อยละ 70 ขึ้นไป ก่อนลงมือเป่าผมให้แห้งด้วยไดร์เป่าผมค่ะ

   ขั้นตอนที่ 3 : ใส่เซรั่มเพื่อบำรุง

          ช่วงที่ผมแห้งหมาด ๆ หลังการซับด้วยผ้าเช็ดผม ให้ใส่เซรั่มบำรุงผมสูตรที่ต้องการ เช่นสูตรเพิ่มความเงางาม สูตรผมไม่ชี้ฟู หรือสูตรปกป้องเส้นผมจากความร้อน พร้อมกับหยดอาร์กันออยล์ลงไปด้วยเล็กน้อย ส่วนผสมเพียงปริมาณเล็ก ๆ ในขั้นตอนนี้จะช่วยให้เส้นผมของคุณชุ่มชื้น อันจะช่วยให้เปล่งประกายเงางามได้มากขึ้นนั่นเอง

   ขั้นตอนที่ 4 : แบ่งผมออกเป็น 4 ส่วน

          แบ่งผมออกเป็น 4 ส่วน เพื่อให้ง่ายต่อการเซ็ตผม โดยแบ่งเป็นครึ่งหน้าศีรษะ 2 ส่วน และครึ่งหลังศีรษะอีก 2 ส่วน

   ขั้นตอนที่ 5 : ลงมือเซ็ตผม

          ใช้ไดร์เป่าผมกับหวีแปรงแบบกลมในการเซ็ตผม โดยใช้หวีแปรงหวีช้อนขึ้นมา แล้วใช้ไดร์เป่าทำมุมเอน ๆ เป่าที่ไปกลุ่มผมนั้นจากด้านบน ด้วยวิธีการใช้หวีกลมแบบนี้จะทำให้ผมของคุณดูมีวอมลุ่มดีด้วย และหากต้องการให้ปลายผมงุ้มเข้าเล็กน้อย ให้หมุนหวีแปรงไปด้วยขณะที่หวีไปเกือบสุดปลายผม ไล่ทำไปเรื่อย ๆ จนทั่วทั้งศีรษะ

   ขั้นตอนที่ 6 : ฉีดสเปรย์เพิ่มความเงางาม

          หลังเสร็จจากการไดร์ผมแล้ว ให้ฉีดสเปรย์เพิ่มความเงางามเป็นการตบท้าย เท่านี้คุณก็จะได้ผมที่สลวยเป็นประกายเงางามทั้งวันแล้ว

          เรื่องการสระและการเซ็ตผม เป็นเรื่องที่สาว ๆ ทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่หากได้ทำตามขั้นตอนเหล่านี้ด้วย สาว ๆ ก็จะได้มีผมที่เงางามเปล่งประกายได้เป็นประจำทุกวันเลยล่ะค่ะ

เลือกทรงผมอย่างไร ให้เข้ากับบุคลิกของคุณ



1. สาวง่าย ๆ สบาย ๆ  คนง่าย ๆ สบาย ๆ ไม่จู้จี้ไม่เรื่องมาก แต่รับมือกับปัญหาต่าง ๆ ได้ดี ไม่ค่อยจะมีบุคลิกชอบม้วนผมตัวเองเล่นเพราะกำลังเหม่อลอยใช้ความคิดสักเท่าไหร่ ทรงผมที่เข้ากับสาวง่าย ๆ สบาย ๆ อย่างนี้ ควรจะเป็นทรงที่สระง่าย แห้งไว ไม่ต้องแต่งผมมากมาย สาวผมตรง ลองตัดผมสั้นยาวประมาณประบ่า สไลด์ปลายผมนิด ๆ ทรงนี้สระง่าย ปล่อยแห้งเองก็ได้ หรือใช้ไดร์เป่าผม เป่าเซ็ตให้ปลายงุ้มเข้าหน่อยก็สวยดี ส่วนสาวที่ผมหยิกหรือเป็นคลื่นเล็ก ๆ ที่ดูแลค่อนข้างยาก ลองตัดสั้นให้เฉี่ยวเก๋ไปเลย ทั้งสั้น ทั้งมั่น ทั้งน่ารักเลยล่ะ

     2. สาวมั่น อารมณ์ศิลปิน  ขอบอกว่าช่างตัดผมชอบนักแหละกับสาว ๆ ประเภทนี้ เพราะว่าพวกเธอมั่นใจเกินร้อย รักศิลปะเป็นที่สุด ทำให้บรรดาช่างตัดผม และแฮร์สไตล์ลิสต์ สามารถยืมเรือนผมของเธอเป็นผ้าใบแสดงฝีมือได้ ไม่ว่าจะสไลด์ไล่ระดับลงมาเป็นชั้น หรือทำสีผมสีสดเจ็บจี๊ด ชนิดที่เดินเข้าห้องมาแล้วใคร ๆ ก็ต้องหันไปมอง เข้ากับบุคลิกของสาวแบบนี้ดีจัง

       3. สาวเซ็กซี่ ร้อนแรง  ความเซ็กซี่มักจะเกี่ยวเนื่องกับความยาวของเส้นผมด้วย สาว ๆ ที่ได้ชื่อว่าเซ็กซี่ส่วนใหญ่ก็มักจะผมยาว หากคุณคิดว่าตัวเองเซ็กซี่มีเสน่ห์ร้อนแรงแล้วล่ะก็ ผมยาวดัดลอนคลาย ๆ ดูเข้ากับคุณที่สุดเลยล่ะ แต่ว่าถ้าตอนนี้ผมอยากสั้นอยู่และอยากให้ยาวทันใจ การต่อผมสามารถช่วยคุณได้ ระหว่างต่อผมและรอให้ผมยาวไปด้วย ก็อย่าลืมบำรุงเส้นผมให้แข็งแรงสุขภาพดี รวมทั้งเก็บอุปกรณ์ทำผมที่ให้ความร้อนไว้ไกล ๆ มือด้วยล่ะ

       4. สาวนักทำงานมืออาชีพ  เวิร์กกิ้ง วูแมน ระดับโปรเฟสชั่นนอล ต้องเป็นทรงผมที่สวยได้โดยไม่ต้องใช้เวลาทำผมเยอะ (มัวแต่ทำผม เดี๋ยวก็ไม่ได้ทำงานพอดี) เอาแบบที่แต่งแวกซ์นิด ๆ ฉีดสเปรย์หน่อย ๆ ก็สวยพร้อมไปทำงาน ลองผมสไลด์ไล่ระดับยาวเลยบ่า ส่วนผมด้านหน้าให้ไว้ยาวประมาณไหล่ และออกไปทำงานสวย ๆ ด้วยการมัดผมหางม้า ส่วนผมด้านหน้าปล่อยไว้ และม้วนปลายด้วยแกนม้วนผมไฟฟ้าสักนิด เริ่ดอะ !

          ใครกำลังวางแผนเปลี่ยนทรงผม แต่ยังไม่มีไอเดียดี ๆ ลองพิจารณาบุคลิกตัวเอง แล้วทำผมตามนี้ดูก็ได้นะ

อดนอน...สาเหตุของคนขี้หงุดหงิด

ผู้หญิงเก่งสมัยนี้ คล่องทั้งเรื่องงานออฟฟิศ และยังปรู๊ดปร๊าดเรื่องงานในบ้าน ซึ่งทำเอาเวลา 24 ชั่วโมงของพวกหล่อนไม่เคยพอ จนไปเบียดบังเวลานอน คำว่า ขอเคลียร์งานก่อนแล้วค่อยกลับบ้านเป็นเรื่องชาชินของคนในครอบครัวเสียแล้ว ส่วนตัวคุณคงคิดว่าถ้าจ๊อบเสร็จได้ภายในคืนนี้ วันพรุ่งนี้คุณก็สบายล่ะสิ



          ผิดถนัด คุณอาจสบายกาย แต่ใจคุณจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเพราะอาการอดนอนแทน คุณจะปรี๊ดแตกง่ายขึ้นกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ใครทำอะไรก็ดูขวางหูขวางตาไปเสียหมด ถ้าคุณเป็นคนที่ทุกคนถอยห่าง ลองสำรวจตัวเองดูสักหน่อยว่าอาการเหวี่ยงวีนนี้เป็นเพราะคุณอดนอนหรือไม่

          หากมากับโรคความดันโลหิตสูงและโรคเกี่ยวกับหัวใจอื่น ๆ ด้วยละก็ เป็นสมมติฐานที่เป็นไปได้มากทีเดียว เพราะหากขาดการพักผ่อนนอนหลับติด ๆ กันเป็นเวลานาน จะนำมาซึ่งโรคพวกนี้ด้วยยังไงล่ะ 

ระวัง! สารพัดโรคจาก รองเท้าส้นสูง

ส้นสูง นับเป็นของคู่กันกับหญิงสาว แต่นอกจากรองเท้าส้นสูงจะทำให้หลังตรง สูงเพรียว และหุ่นดูสวยสง่าแล้ว รองเท้าส้นสูงยังอาจนำโรคร้ายมาสู่ตัวคุณ ซึ่งแน่นอนว่า คงไม่มีสาวหน้าไหนอยากเจ็บตัวอย่างแน่นอน ดังนั้น เราจะชวนคุณมาพลิกแผ่นดิน เพื่อตามล่าส้นสูงที่จะทำให้คุณดูดีได้แบบไม่ต้องร้องโอดครวญ



 สารพัดโรคที่มาพร้อมรองเท้าส้นสูง

          เรื่องความสูงของส้นรองเท้านั้น มีหลายคนเขียนไว้แตกต่างกัน บางท่านก็แบ่งเพศว่า ชายสูงไม่เกิน 3.5 เซนติเมตร หญิงสูงไม่เกิน 4.5 เซนติเมตร จนในที่สุดก็มีผู้ทำการศึกษาวิจัยโดยทำการทดลองให้หญิงสาวสวมรองเท้าส้นสูงในขนาดต่าง ๆ กัน แล้วให้เดินสายพาน ในความเร็วประมาณ 4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยติดตั้งอุปกรณ์ถ่ายภาพความเร็วสูงและศึกษาการทำงานของกล้ามเนื้อและการขยับของข้อต่าง ๆ ซึ่งพบว่า ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อรองเท้าส้นสูงเกินกว่า 5 เซนติเมตร หรือ 2 นิ้ว แต่ทั้งนี้ก็เป็นเพียงการทดลองในผู้หญิงที่ใส่ส้นสูงประจำครึ่งหนึ่งและใส่ส้นเตี้ยประจำครึ่งหนึ่ง ซึ่งการสวมรองเท้าส้นสูงจนเป็นนิสัยนั้นจะนำพาโรคเหล่านี้มาสู่คุณ

1. กล้ามเนื้อน่องเอ็นร้อยหวาย

          ในขณะที่สวมใส่รองเท้าส้นสูงคุณสาว ๆ ต้องยืนอยู่ในท่าเขย่ง ซึ่งถ้าร่างกายต้องอยู่ในท่านี้เป็นเวลานาน ๆ จะทำให้กล้ามเนื้อน่องเอ็นร้อยหวายตึงและหดสั้น สังเกตได้จากอาการปวดน่องบ่อย ๆ จากการเดินหรือการเป็นตะคริว

2. โครงสร้างของเท้า

          เมื่อกล้ามเนื้อเอ็นร้อยหวายหดสั้นอยู่บ่อย ๆ จะส่งผลเสียต่อโครงสร้างของเท้า เมื่อยืนด้วยเท้าเปล่าจะเห็นว่าเท้าแบนทำให้เกิดอาการปวดที่บริเวณอุ้งเท้าและส้นเท้าจนกลายเป็นปัญหาฝ่าเท้าตามมา

3. กระดูกสันหลัง

          การใส่รองเท้าส้นสูงทำให้ปลายเท้าส่วนหน้าต้องทำหน้าที่รับน้ำหนักของร่างกายไว้เกือบทั้งหมด เพื่อให้สามารถยึดตัวให้ตั้งตรงและทรงตัวได้ ในขณะเดียวกันสรีระของร่างกายก็จะปรับให้อวัยวะส่วนหลัง บริเวณช่วงเอวแอ่นไปด้านหลังส่งผลให้เกิดอาการตึงของกล้ามเนื้อจนถึงขั้นปวดหลังในที่สุด

 การปฐมพยาบาล

          ในกรณีที่เกิดการบาดเจ็บของข้อเท้าจากการใส่ส้นสูง ให้ใช้ความเย็นซึ่งอาจจะเป็นถุงน้ำแข็ง ประคบไว้ประมาณ 20-30 นาที ขณะเดียวกันให้ยกขาสูง และลดการใช้งาน สามารถประคบได้ บ่อย ๆ 4-5 ครั้งต่อวัน หรือทุก 2 ชั่วโมง ในวันแรกที่ได้รับบาดเจ็บ ควรประคบต่ออีก 2-3 วัน แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นความร้อน แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้น หรือกลับแย่ลง ให้ไปปรึกษาแพทย์ครับ ข้อสำคัญ คือ ห้ามนวด หรือห้ามดัดบิดข้อเท้า

          จากการสำรวจด้วยแบบสอบถาม ในต่างประเทศ พบว่ามีสุภาพสตรีที่มีปัญหาเรื่องปวดเท้า ประมาณ 80% และในจำนวนนี้ มีสาเหตุเกี่ยวเนื่องกับรองเท้าส้นสูงถึง 75% จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมจึงมีผู้มาพบแพทย์ด้วยปัญหาปวดเท้า แต่ในบางรายก็อาจจะเป็นเนื่องจากรูปร่างของเท้าที่ผิดปกติ

          สำหรับเรื่องรองเท้าส้นสูงที่เกิน 2 นิ้ว อาจส่งผลให้เกิดปัญหา ตั้งแต่เล็บเท้าขบ หูดหรือตาปลาที่ฝ่าเท้า เส้นประสาทเท้าอักเสบ เอ็นข้อเท้าอักเสบ กล้ามเนื้อน่อง และเอ็นร้อยหวายหดรั้ง การบาดเจ็บจากเท้าพลิก นอกจากนี้ ยังมีอาการเจ็บเข่าเนื่องจากการเกร็งของเข่าเพื่อการทรงตัว และที่สำคัญ คือ ยังส่งผลถึงกระดูกสันหลังด้วยครับ การทานอาหารให้ครบหมู่ มีสารอาหารและแคลเซียมเพียงพอ และหมั่นออกกำลังกาย จะทำให้กระดูกแข็งแรง ทั้งนี้ต้องควบคุมน้ำหนักตัวด้วย

          อย่างไรก็ตาม วัยไหน ๆ ก็ไม่เหมาะที่จะใส่รองเท้าส้นสูง โดยเฉพาะเด็ก และสตรีมีครรภ์ ใส่ส้นสูงให้ปลอดภัยใส่ไม่เกิน 2 นิ้ว เลือกชนิดที่มีสายรัดบนหลังเท้า และพื้นรองเท้ากว้างรับกับแผ่นเท้าทั้งหมด วัสดุที่รองเท้าต้องนุ่ม ช่วงเวลาที่ใส่ให้สั้นที่สุด และต้องออกกำลังกายยืดเส้นเอ็นร้อยหวาย และกล้ามเนื้อน่อง

SUPER FOODS ของคนวัยทอง

"ซูเปอร์ฟู้ดส์" เป็นอาหารที่จัดอยู่ในประเภทอาหารฟังก์ชั่น (Functional foods) 
คือ อาหารที่ทำหน้าที่นอกเหนือจากการให้สารอาหารพื้นฐานที่ร่างกายต้องการ โดยมีองค์ประกอบพิเศษช่วยเสริมสุขภาพและป้องกันโรค เช่น ใยอาหาร สารแอนติออกซิแดนต์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ สารพฤษเคมี จุลินทรีย์หรือสารพรีไบโอติกส์ ซึ่งเป็นสารของจุลินทรีย์ที่ดีและอื่นๆ อีกมากมาย 
5 Super Foods ของคนวัยทอง ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้หญิงวัยทองควรรับประทานซูเปอร์ฟู้ด 5 ชนิดต่อไปนี้อยู่เป็นประจำ

1. เต้าหู้ 

โปรตีนสูงจาก ถั่วเหลืองใช้แทนเนื้อสัตว์ได้ดี โปรตีนถั่วเหลืองช่วยลดคอเลสเทอรอล ป้องกันโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังมีสารไฟโตเอสโตรเจน ป้องกันมะเร็ง กระดูกพรุน และลดอาการของหญิงวัยหมดประจำเดือน เช่น ร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวน เป็นต้น (เต้าหู้ 1 ถ้วยตวงให้พลังงาน ประมาณ 180 กิโลแคลอรี)

2. ถั่วเมล็ดแห้ง 

เช่น ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเนวี ถั่วเขียว บรรดาถั่วเมล็ดแห้งมีใยอาหารสูงมาก โดยเฉพาะใยอาหารชนิดละลายน้ำ มีรายงานการวิจัยว่า ใยอาหารช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และผนังลำไส้โป่งพอง ผู้หญิงควรได้รับใยอาหารประมาณวันละ 30 กรัม นอกจากนี้ถั่วประเภทนี้ยังมีแมกนีเซียมสูงโดยเฉพาะถั่วดำ ถั่วดำสุก 1 ถ้วยตวงให้แมกนีเซียม120 มิลลิกรัมจากความต้องการ 320 มิลลิกรัมต่อวัน ผู้ใหญ่ที่ได้รับแมกนีเซียมจากอาหารไม่เพียงพอจะมีระดับสารซีอาร์พี (CRP)
ในเลือดสูงทำให้เกิดการอักเสบภายในร่างกายได้ง่าย

3. บลูเบอร์รี่ 

เป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์แอนติออกซิแดนท์อยู่ในอันดับต้นๆ งานวิจัยล่าสุดรายงานว่าอาจช่วยลดความจำเสื่อมระยะสั้น โดยบลูเบอร์รี่สด 1/2 ถ้วยตวง ให้พลังงานเพียง 40 กิโลแคลอรี

4. โยเกิร์ต 

มีไขมันต่ำ แต่มีแคลเซียมและโพแทสเซียมสูงกว่านม แคลเซียมและโพแทสเซียมช่วยลดความดันโลหิต แคลเซียมช่วยป้องกันกระดูกพรุน และลดน้ำหนัก ในโยเกิร์ตยังประกอบไปด้วยจุลินทรีย์ชนิดดี เช่น แล็คโทแบซิลัส และแอซิโดฟิลัสช่วยเพิ่มภูมิต้านทานและกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร ป้องกันการติดเชื้อยีสต์ และการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ

5. อะโวคาโด 

ประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินอี และมีไขมันชนิดดี คือ กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวในปริมาณมากเช่นเดียวกับน้ำมันมะกอก ช่วยให้ผมและผิวมีสุขภาพดี สำหรับผู้ที่ชอบทานอโวคาโด อาจใช้แทนน้ำสลัดข้นๆ หรือมายองเนส โดยอโวคาโด 1/2 ถ้วยตวง ให้พลังงานประมาณ 80 กิโลแคลอรี

ซูเปอร์ฟู้ดส์หลากหลายชนิดที่แนะนำนี้ คงกลายเป็นเมนูสุขภาพที่หมุนเวียนบนโต๊ะอาหารของคุณได้ไม่รู้เบื่อใช่ไหมค่ะ เพื่อเพิ่มพลัง ลดโรค และเป็นรากฐานสู่การมีอายุยืนยาวอย่างมีสุขภาพที่ดี


10 วิธีหนีสมองฟ่อ

สมอง อวัยวะที่ถูกใช้กันทุกนาที ทุกวัน ทำงานแบบไม่มีวันหยุด สักวันหนึ่งถ้าเราไม่รีบหันมาดูแลใส่ใจคงต้องแย่แน่ๆ ถ้าอยากให้สมองคุณมีความคิดดีๆเกิดขึ้นเรื่อยๆ และแข็งแรงตลอดไป มาลองทำ 10 วิธีให้สมองคุณสดชื่นและคิดอะไรดีๆ ได้ตลอดไปกันดู 


10 วิธีหนีสมองฟ่อ
1.ดื่มน้ำให้มากพอ สมองของเราประกอบด้วยน้ำมากถึง 85%ดังนั้น ถ้าร่างกายขาดน้ำเมื่อไหร่ สมองก็จะเฉื่อยชาช้าลงทันที ส่งผลให้คุณคิดอะไรไม่ค่อยออกคิดช้า แต่การดื่มน้ำนั้น ในแต่ละคนจะมีความต้องการต่างกันซึ่งขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัว การเคลื่อนไหว การบริโภคและพฤติกรรมต่างๆ แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ใหญ่ควรดื่มน้ำวันละ 3-5 ลิตรส่วนเด็ก 2-3 ลิตรก็พอ 

2.หายใจให้ลึกๆ เพราะจะช่วยส่งพลังงานไปให้ถึงสมอง ยิ่งถ้าคุณกำลังนั่งอยู่ด้วยล่ะก็ ควรนั่งให้หลังตั้งตรงเพราะจะช่วยเพิ่มออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้นแต่ ถ้าจำเป็นต้องนั่งนานๆ ก็ควรเปลี่ยนอิริยาบถยืดเส้น ยืดสายบ้าง เพื่อให้ปอดขยาย

3.หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ จะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ไปกระตุ้นให้จิตใจสว่างสดใสและช่วยดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต

4.เลือกรับประทานอาหาร เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันดีเพื่อมาทดแทนไขมันสมองในส่วนที่ สึกหรอ เช่น น้ำมันปลา สารสกัดจากใบแปะก๊วย ปลาแซลมอน อีฟนิ่งพริมโรส และวิตามินซี

5.ออกกำลังกาย แน่นอนอยู่แล้วการออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายคุณแข็งแรงขึ้นอย่างแน่ นอนสมองก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีการออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองด้วย

6. ฝึกสมาธิให้สมองผ่อนคลาย เป็นการช่วยไม่ให้คุณและสมองเกิดการฟุ้งซ่าน ที่สำคัญจะช่วยให้มีจินตนาการดีๆ และมีความคิดสร้างสรรค์ สามารถเลือกทำได้ทั้งตื่นนอนตอนเช้าหรือก่อนนอนทุกวัน

7. รู้จักให้อภัยและลดความโกรธ ความโกรธเหมือนเป็นของเสียและความร้อนทางอารมณ์ที่ไม่ควรเก็บไว้นาน หรือไม่ให้เกิดขึ้นได้เลยยิ่งดี เพราะความโกรธจะทำให้สูญเสียพลังงานมากขึ้น และสมองก็จะรับภาระทางความคิดมากขึ้นตามไปด้วย

8.หาอะไรใหม่ๆ ให้ชีวิต อย่างการรู้จักคนใหม่ๆ อ่านหนังสือเล่มใหม่ เปลี่ยนเส้นทางการขับรถใหม่ หรือแลกเปลี่ยนทัศนคติใหม่ๆ กับเพื่อน สมองจะหลั่งสารแห่งความสุข (เอ็นดอร์ฟิน) และสารแห่งการเรียนรู้ โดปามีน ทำให้เกิดการอยากเรียนรู้อย่างมีความสุข

9.เก็บบันทึกเรื่องราวดีๆ  ในแต่ละวันลง หน้ากระดาษ จะช่วยทำให้สมองคิดในเชิงบวก และจดจำเรื่องราวดีๆ ในแต่ละวัน เปิดอ่านครั้งใดก็สดชื่น

10.พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนคือการพักผ่อนที่ดีที่สุดและยังเป็นการยืดอายุให้สมองเราไปนานแสนนาน

10 วิธีชาร์จพลังให้ตัวเอง

คุณเคยเป็นเช่นนี้หรือไม่...ตื่นขึ้นมาในเช้าวันจันทร์ แล้วภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นเช้าวันอาทิตย์อีกครั้ง เพราะเหนื่อยจนโงหัวแทบไม่ขึ้น หรือ ทำงานอยู่ดี  ก็ลานขาดไปเฉย  หยิบเอกสารตัวโน้นไปปนกับตัวนี้ นัดลูกค้าไว้ก็หลง  ลืม  


10 วิธีชาร์จพลังให้ตัวเอง
ถ้าใครอุทานว่า อุ๊ยตาย..อาการที่ว่านั่น ฉันเคยเป็นมาหมดแล้ว ก็อย่าช้าอยู่เลย มาปฏิบัติตามบันได 10 ขั้น ที่จะแนะนำต่อไปนี้ เพื่อฟื้นฟูขุมพลังงานให้คุกรุ่นอีกครั้ง รับรองหลังจากนั้นจะไม่มีอาการก่งก๊งมากล้ำกรายอีกเลย 
 
            เลิกคบกับคาเฟอีน 
 
          แม้การกระตุ้นร่างกายให้คึกคักด้วยเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน จะเป็นที่นิยมทั่วโลก (และคุณก็เป็นคนหนึ่ง) แต่หยุดดีกว่าค่ะ เพราะผลข้างเคียงของกาแฟมีทั้งอาการปวดหัว นอนไม่หลับ และผลเสียต่อระบบประสาท
 
          ทางออกที่เข้าท่ากว่า คือการดื่มชาที่จะกระตุ้นร่างกายให้สดชื่นได้เช่นกัน นอกจากนั้นชายังช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็งได้ด้วย
          
           เลิกบุหรี่ 
 
          คำอธิบายต่อจากนี้ก็คือ ลองอ่านข้างซองของบุหรี่ทุกซองดูจะทราบผลร้ายของมัน
         
           ลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 
      
          จริงอยู่ที่ว่า 1-2 แก้วต่อวัน จะช่วยป้องกันหัวใจล้มเหลว แต่นั่นสำหรับผู้ชายและหญิงสูงวัย ในผู้หญิงสาว  ผลจะตรงข้าม คือเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมให้สูงขึ้น
 
           กินให้พอดี  และเลี่ยงน้ำตาล 

           เพิ่มอาหารเชิงโภชนาการ 

          เช่น ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม วิตามินบีรวม วิตามินซี ฯลฯ ซึ่งแร่ธาตุเหล่านี้ สามารถพบได้ในอาหารธรรมชาติปลอดสารพิษทั่วไป
 
           ทำตัวให้แอ็คทีฟอยู่เสมอ 
 
          ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังเป็นประจำ หรือหมั่นออกไปสัมผัสธรรมชาติที่สดชื่นปลอดโปร่ง
          
           ฝึกโยคะ 
           
          ประมาณวันละ 15 นาที เพื่อให้ร่างกายผ่อนคลายและรับออกซิเจนได้เต็มที่
 
เรียนรู้ที่จะผ่อนคลาย

ไม่ว่าจะเป็นวิธีง่าย ๆ อย่างนั่งหลับตา ไปจนถึงเล่นดนตรี และวิธีสุดฮิตตลอดกาล ก็คือการนอนหลับ โดยอาจอาบน้ำให้สบายตัว หรือดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ ก่อนนอนก็ยิ่งดี

ปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้น่าอยู่


จัดโน่นวางนี่ให้สวยงามสบายตา และสะอาดสดชื่น

อยู่อย่างเป็นสุข

ฟังดูง่ายแต่ยากชะมัด ก่อนอื่นหัวเราะให้ง่าย ๆ เข้าไว้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ยิ้มแย้มแจ่มใส มองโลกเชิงบวกให้มาก ๆ สิ่งเหล่านี้มีผลต่อระบบประสาทโดยตรงทีเดียวค่ะ

ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ วิธีชาร์จพลังงานทั้งสิบข้อ เมื่อพลังงานคืนกลับ ร่างกายกระชุ่มกระชวยแล้วความงามจะไปไหนเสีย ทั้งแข็งแรงทั้งสวย คราวนี้อีกกี่วันจันทร์ก็ไม่เหนื่อยอีกแล้ว...

โรคร้อนในในปาก สาเหตุ กับ วิธีรักษา


แผลร้อนใน (Recurrent aphthous ulceration)

          เป็นโรคที่พบได้บ่อยเกิดขึ้นที่เนื้อเยื่อบุผิวของช่องปากผลที่เกิดอาจเกิดเพียงหนึ่ง หรือหลายแห่ง ทำให้เกิดความเจ็บปวดมาก

สาเหตุ
          การเกิดแผลร้อนในมีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน สภาพทางจิตใจ และสังคม มักจะเกิดกับผู้มีรายได้น้อย มีความเครียดและมีการทำงานที่มีการแข่งขันสูง อาจเกิดจากลักษณะทางกรรมพันธุ์ และภาวะขาดสารอาหาร โดยเฉพาะขาดธาตุเหล็ก,โฟเลต หรือวิตามินบี 12 นอกจากนี้ยังพบได้ในผู้หญิงก่อนมีประจำเดือน

ลักษณะแผลร้อนใน
          1. แผลร้อนในขนาดเล็ก (minor aphthous ulceration)
          แผลลักษณะนี้พบได้บ่อยในกลุ่มผู้มีอายุระหว่าง 15 - 45 ปี พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายเล็กน้อย มักพบบริเวณเยื่อเมือกด้านริมฝีปาก ด้านแก้ม, กระพุ้งแก้ม และขอบของลิ้น รอยโรคมักปรากฏอยู่ในช่องปากประมาณ 14 วัน และมีอาการเจ็บปวดในช่วงสั้น ๆ แต่เมื่อเยื่อบุผิวในช่องปากฉีกขาด จะเป็นแผลซึ่งมีลักษณะกลมรี มีสีเหลืองอ่อน จะมีความเจ็บปวดมากขึ้น

          2. แผลร้อนในขนาดใหญ่ (major aphthous ulceration)
          แผลชนิดนี้พบได้น้อยกว่าแผลขนาดเล็ก แผลขนาดใหญ่นี้จะทำให้ผู้ป่วยมีความเจ็บปวด การรับประทานอาหาร การพูด การกลืนน้ำลายจะยากลำบาก พบได้ทุกบริเวณในช่องปาก การหายของแผลกินเวลาประมาณ 10 -40 วัน มักพบลอยแผลเป็นหลงเหลืออยู่

          3. แผลชนิดคล้ายเฮอร์ปีส์ (herpetiform ulceration)
          แผลที่เกิดขึ้นจะมีลักษณะคล้ายแผลขนาดเล็กพบได้บ่อยบริเวณใต้ลิ้น เพดานอ่อน ริมฝีปาก ด้านใน ลักษณะแผลจะเป็นกลุ่ม และเจ็บปวด หายได้ภายใน 7 - 14 วัน ผู้ป่วยมักกลืนลำบาก และ น้ำหนักลด เนื่องจากรับประทานอาหารลำบากและไม่เพียงพอ  

การรักษาแผลร้อนใน          ในปัจจุบันยังไม่มียาชนิดใดที่รักษาแผลร้อนในให้หายขาด โดยไม่ปรากฏอาการเกิดขึ้นมาอีก ดังนั้นการรักษาที่นิยมในปัจจุบันคือ รักษาไปตามอาการโดยให้สเตียรอยด์ชนิดทาเฉพาะที่ เพื่อลดอาการเจ็บและอาการอักเสบ ดังนี้
          1.ไทรแอมซิโนโลนอะเซทโทไนด์ ชนิดขี้ผึ้ง 0.1% ทาวันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร
          2. ฟลูโอซิโนโลนอะเซทโทไนด์ 0.1% สารละลายหรือชนิดขี้ผึ้ง ทาวันละ 3 ครั้ง หลังอาหารหรือ อาจใช้ คลอร์
เฮ็กซิดีนกลูโคเนต 0.2 - 1% ใช้อมบ้วนปาก 10 มิลลิลิตร อม 1 นาที วันละ 2 ครั้ง (เช้า - เย็น) หรือหลังอาหาร

สี่งที่ควรทําเมื่อเกิดแผลร้อนใน
          หลีกเลื่ยงอาหารเค็มจัดและอาหารที่มีกรดหรือรสเปรื้ยว  เช่น  ผักดอง  รวมไปถึงขนมหวานที่เคื้ยวจนเหนืยว  รวมทั้งเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์อาจทําให้อาการแผลในปากที่เป็นอยู่มีอาการรุนแรงขึ้น  นอกจากนั้นควรบ้วนปากด้วยนําเกลือวันละ  2 ถึง 3 ครั้ง และถ้าแผลไม่หายภายใน 3 สัปดาห์ควรไปพบแพทย์

          พึงระลึกไว้ว่า แผลร้อนในเป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายกําลังเหนื่อยล้าหรือทรุดโทรม จึงต้องดูแลตนเองให้แข็งแรงด้วยการกินอาหารให้เหมาะสม นอนหลับอย่างเพืยงพอและออกกําลังกายกลางแจ้งในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์เป็นประจํา จะช่วยลดความเสื่ยงจากโรคนี้ลงไปได้

ขอบคุณที่มา : sanook.com / สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี

ทรงผมสั้น หน้าม้า!! เปรี้ยวซ่า โดนใจ

ทรงผมสั้น
ทรงผม แบบทรงผม ทรงผมสั้น
ทรงผมสั้น

ทรงผม แบบทรงผม ทรงผมสั้น

ทรงผมสั้น

ทรงผม แบบทรงผม ทรงผมสั้น

          สาว ๆ คนไหนที่กำลังมองหา แบบทรงผม เก๋ ๆ เท่ห์ ๆ มั่น ๆ แถมยังอยากตัดผมสั้นเปลี่ยนลุคตัวเองให้ดูเปรี้ยวซ่า และแอบมี "ผมหน้าม้า" แอ๊บแบ๊วให้ดูหวานแหววซะหน่อย วันนี้เรามี แบบทรงผม ทรงผมสั้น อย่างที่กล่าวมา มาฝากเพื่อน ๆ กันด้วย 
          ว่าแล้วเราไปดูกันเลยดีกว่าว่า ทรงผมสั้น ตัดหน้าม้า เนี่ย จะสวยเท่ห์ขนาดไหน...
ทรงผมสั้น

ทรงผม แบบทรงผม ทรงผมสั้น

ทรงผมสั้น

ทรงผม แบบทรงผม ทรงผมสั้น

ทรงผมสั้น

ทรงผม แบบทรงผม ทรงผมสั้น

ทรงผมสั้น

ทรงผม แบบทรงผม ทรงผมสั้น

ทรงผมสั้น

ทรงผม แบบทรงผม ทรงผมสั้น

ทรงผมสั้น

ทรงผม แบบทรงผม ทรงผมสั้น

ทรงผมสั้น

ทรงผม แบบทรงผม ทรงผมสั้น

ทรงผมสั้น

ทรงผม แบบทรงผม ทรงผมสั้น

ทรงผมสั้น

ทรงผม แบบทรงผม ทรงผมสั้น

ทรงผมสั้น

ทรงผม แบบทรงผม ทรงผมสั้น

ทรงผมสั้น

ทรงผม แบบทรงผม ทรงผมสั้น

ทรงผมสั้น

ทรงผม แบบทรงผม ทรงผมสั้น

ทรงผมสั้น

ทรงผม แบบทรงผม ทรงผมสั้น

ทรงผมสั้น

ทรงผม แบบทรงผม ทรงผมสั้น

ทรงผมสั้น

ทรงผม แบบทรงผม ทรงผมสั้น

ทรงผมสั้น

ทรงผม แบบทรงผม ทรงผมสั้น

ทรงผมสั้น

ทรงผม แบบทรงผม ทรงผมสั้น

ทรงผมสั้น

ทรงผม แบบทรงผม ทรงผมสั้น

บทความสุขภาพที่เีกี่ยวข้อง