วิธีแต่งหน้าสาวผิวสองสี

วันนี้เราจะมาสอนแต่งหน้าและเป็นการสอนแต่งหน้าฟรี ฟรี ด้วยแหละกับวิธีแต่งหน้าสาวผิวสองสีกัน ค่ะ ที่ว่า สอนแต่งหน้าฟรี ฟรี ก็เพราะว่า เรานั้นมาพร้อมกับพร้อมคลิปวีดีโอสอนการแต่งหน้าผิวสองสีกันอย่างไรล่ะค่ะ อิอิอิอ ใครอยากให้เรา สอนแต่งหน้า ก็เข้ามากันได้เลยจ๊ะ สำหรับ วิธีแต่งหน้าสาวผิวสองสี ที่เรานำมาสอนแต่งหน้าในวันนี้เราจะขอเอาใจสาวๆ ผู้มีผิวสองสีและอยากได้ วิธีแต่งหน้าสาวผิวสองสี ซึ่งเป็นสไตล์สาวเกาหลีอีกด้วยค่ะ ฉะนั้นแล้วสาวๆ ผิวสองสีอย่างคุณคงจะไม่พลาดที่จะนำความรู้วิธีแต่งหน้าสาวผิวสองสีในวันนี้ ไปเรียนรู้กันใช้ไหมล่ะค่ะ อีกทั้งขั้นตอนและเทคนิควิธีแต่งหน้าสาวผิวสองสีก็ถูกบรรจุไว้ในคลิปวีดีโอ สอนการแต่งหน้าผิวสองสีกันแล้วนั้นมาเริ่มเรียนกันเลยนะค่ะ

คลิปวีดีโอ วิธีแต่งหน้าสาวผิวสองสี


เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะกับวิธีการแต่งหน้าสาวผิวสองสีที่เรานำมาสอนแต่งหน้า กันในวันนี้เป็นที่ชอบใจของสาวๆ ผิวสองสีกันบ้างไหมเอ่ย คราวหน้าเรายังมีวิธีแต่งหน้ากันอีกมากมายที่จะนำมาสอนแต่งหน้าให้กับคุณ ผู้หญิงกันอีกฉะนั้นแล้วก็ห้ามพลาดและคอยติดตามกันด้วยนะค่ะ สำหรับวิธีสนุกกับการแต่งหน้าที่เรานำคลิปวีดีโอมาสอนกันไปก่อนนะจ๊ะ แต่หากว่าคุณผู้หญิงอยากเป็นผู้ชำนาญด้านการแต่งหน้าแล้วล่ะก็...อย่าลืม ฝึกฝนวิธีแต่งหน้าของคุณบ่อยๆ กับเทคนิคในคลิปวีดีโอที่เรานำมาฝากนะค่ะ 

ที่มา:n3k.in.th 

วิธีทำให้ผิวกายขาวใส ด้วยสูตรธรรมชาติ

สำหรับสาวๆ คนไหนที่สำลังมองหาวิธีบำรุงผิวขาวใสดีๆ อยู่หล่ะก็วันนี้เรามีวิธีทำให้ผิวกายขาวใสมา ฝากกันค่ะ การมีผิวกายขาวเนียนใสคือความปรารถนาที่สาวๆ นับร้อยเฝ้าใฝ่ฝันอยากจะให้เกิดขึ้นกับตัวเอง เป็นที่สุด และไม่ว่าจะมีโฆษณาผลิตภัณฑ์บำรุงชนิดไหนสาวๆ ทั้งหลายก็จะรีบไปหาซื้อมาใช้ในทันทีแต่ก็ช่วยให้แค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่า นั้น แต่ว่าวันนี้คุณจะไม่ผิดหวังอีกต่อไปค่ะเพราะว่าวันนี้เราได้นำเอา วิธีทำให้ผิวกายขาวใส ด้วยสูตรธรรมชาติมาแนะนำให้ได้รู้กันค่ะ สำหรับ วิธีทำให้ผิวกายขาวใส นี้เป็นวิธีทางธรรมชาติที่คุณก็สารมารถทำได้ด้วยตัวเองและที่สำคัญไปกว่า นั้น วิธีทำให้ผิวกายขาวใส นี้ยังหาวัตถุดิบได้จากสมุนไพรใกล้ๆ มือคุณอีกด้วยนะค่ะ ถ้าอย่างนั้นแล้วเราเข้าไปดูวิธีทำให้ผิวกายขาวใสกันเลยดีกว่านะค่ะ เตรียมอุปกรณ์ของคุณให้พร้อมและเราก็เข้าไปสวยในแบบประหยัดๆ กันได้เลยค่ะ
  
วิธีทำให้ผิวกายขาวใส
จุดเด่นของสูตรนี้ คือ การนำเอาใบสะระแหน่และกะเพราซึ่งอุดมด้วย วิตามินเอ ซี อี และมีน้ำมันหอมระเหย ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการอับเสบ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังมาใช้เพื่อช่วยให้ผิวกระจ่างสดใส พร้อมกับให้ความรู้สึกผ่อนคลายด้วย

ส่วนผสม

- ใบสะระแหน่ หรือใบกะเพราแดง 1 ถ้วย
- ครีมนมธัญพืช ทำจากเมล็ดถั่วเหลือง (แช่น้ำ 3-5 ชั่วโมง บดละเอียด ) -1 ถ้วย
- ไข่ขาว 2 ฟอง น้ำผึ้งบริสุทธิ์ น้ำโซดา (แช่เย็นจัด) 1 ถ้วย
- พิมเสน 1 ช้อนชา ปั่นรวมให้เข้ากันจนเป็นครีมข้น

วิธีทำ

นำสะระแหน่หรือใบกะเพราที่เตรียมไว้ใส่ลงไปปั่นรวมกับครีมนมธัญพืช จนเป็นเนื้อครีมข้น แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาพอกผิวกายหลังอาบน้ำ พักไว้ 15-30 นาที จึงล้างด้วยน้ำสะอาด

ขอขอบคุณข้อมูลจาก healthcuisine

10 วิธีดูแลเส้นผมให้แข็งแรง สุขภาพดี

ใครที่รู้ตัวว่าเป็นคนที่รักเส้นผมวันนี้ เรามีวิธีดูแลเส้นผมให้แข็งแรงมาบอก ให้รู้กันค่ะ เชื่อไหมค่ะว่าการมีสุขภาพผมที่แข็งแรงและสวยเงางามถือได้ว่าเป็นเสน่ห์อีก อย่างหนึ่งที่ติดตัวผู้หญิงอย่างเรามาตลอด แต่ถ้าถามว่าจะทำยังไงถึงจะมีสภาพผมที่มีเสน่ห์ก็หาคำตอบได้ไม่ยากนะ เพราะว่าเส้นผมของเราเป็นสิ่งที่ควรจะได้รับการดูแลและเอาใจใส่อย่างพิเศษ แต่สำหรับใครที่ไม่ค่อยมีเวลาต้องบอกว่ายากมากๆ แล้ววันนี้เราก็ได้นำเอา วิธีดูแลเส้นผมให้แข็งแรง มาบอกให้ได้รู้กันค่ะ 

สำหรับวิธีดูแลเส้นผมให้แข็งแรง ของเราในวันนี้เป็นวิธีง่ายๆ ที่คุณสามรถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านแต่ก็อย่างที่บอกว่าต้องใช้เวลลาบ้างอะไร บ้าง แต่รับรองนะค่ะว่า วิธีดูแลเส้นผมให้แข็งแรง จะช่วยให้เส้นผมของคุณมีเสน่ห์ที่ดึงดูดได้อย่างง่ายดายแน่นอนค่ะ ว่าแล้วเราก็เข้าไปดูแลเส้นผมให้มีสภาพที่แข็งแรงสวยเงางามในแบบประหยัดกัน เลยดีกว่าค่ะ กับวิธีดูแลเส้นผมให้แข็งแรง สุขภาพดี

10 วิธีดูแลเส้นผมให้แข็งแรง

1. แปรงผมก่อนสระผมทุกครั้ง แปรงผมเพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนเส้นผมและสางเส้นผมที่พันกันออกก่อน

2. สระผมควรใช้แชมพูและครีมนวดที่ผสมอาหารชีวภาพ เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและบำรุงเส้นผมไปด้วยในตัวเพราะสารอาหารชีวภาพจะถูกดูด ซึมแล้วเข้าถึงรากและตลอดเส้นผม

3. นวดศีรษะ นวดหนังศีรษะขณะอาบน้ำใต้ฝักบัวเพื่อกระตุ้นระบบหมุนเวียนช่วยให้มีสุขภาพผม ที่ดีขึ้นและช่วยลดความเครียด ใช้ปลายนิ้วนวดหนังศีรษะเบาๆ โดยเริ่มจากด้านหน้าแล้วนวดลงไปถึงต้นคอ

4. เพิ่มความชุ่มชื้น ชโลมคอนดิชันเนอร์เฉพาะตรงปลายผมและส่วนที่เลยปลายผมขึ้นมาครึ่งหนึ่งของ ความยาว (เพราะเส้นผมส่วนที่อยู่ใกล้หนังศีรษะน่าจะมีน้ำมันที่ให้ความชุ่มชื้นตาม ธรรมชาติอยู่แล้ว) การทาคอนดิชั่นเนอร์ใกล้ๆ รากผมจะทำให้ให้รู้สึกว่าเส้นผมเป็นมันเยิ้มหลังจากสระผมไม่นาน

5. เพิ่มความเงางาม เพิ่มความเงางามและขจัดเส้นผมพันกันด้วยการใช้น้ำส้มสายชูหนึ่งช้อนโต๊ะผสม กับน้ำอุ่น 600 มิลลิลิตร แล้วราดลงบนเส้นผมใช้หวีสางให้ทั่วแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

 
6. ล้างด้วยน้ำเย็น น้ำร้อนทำให้ต่อมรากผมขยายและสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติไปทำให้ผิวผมแห้งหยาบ ดูไม่มีชีวิตชีวาใช้น้ำเย็นล้างผมจะดีกว่า ความเย็นของน้ำจะช่วยให้ต่อมรากผมปิดตัวเส้นผมจะเงางามทั่วศีรษะ

7. ซับเบาๆ อย่าใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมเพราะผ้าขนหนูจะขโมยความชุ่มชื้นและทำลายความยืดหยุ่น ของเส้นผม ให้ใช้ปลายนิ้วบีบน้ำบนเส้นผมออกแล้วใช้ผ้าขนหนูซับเบาๆ วิธีนี้จะช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นบนเส้นผมไว้ได้

8. สางผม อย่าแปรงผมในขณะที่ผมเปียกเด็ดขาด เพราะขณะที่เปียกเส้นผมจะพองใหญ่กว่าปกติสองเท่าและจะทำให้ผมเสียได้ง่าย ใช้หวีซี่ห่างๆ สางผมเปียกที่แบ่งเป็นส่วนๆ โดยเริ่มสางจากปลายผม

9. ปล่อยให้แห้ง ปล่อยให้เส้นผมแห้งตามธรรมชาติเพราะเครื่องมือแต่งผมที่ใช้ความร้อนจะทำให้ แกนผมเสีย บิดผมยาวๆ ขึ้นไปรวบเป็นมวยเส้นผมจะเซ็ตตัวได้เองเมื่อแห้งแล้ว ถ้าผมสั้นก็ทาเจลแล้วหวีให้ทั่ว

10. กำราบผมตั้งชี้ เมื่อผมแห้งแล้วฉีดสเปรย์ลงบนหวีแล้วหวีผมให้ทั่ว วิธีนี้จะทำให้ปลายผมที่ตั้งชี้ลู่ลงไปทำให้เส้นผมดูเงางามเป็นระเบียบและ ช่วยให้เส้นผมอยู่ทรงได้นานขึ้น

วิธีแต่งหน้าแบบสาวออฟฟิศ


วันนี้เราจะมาสอนวิธีแต่งหน้าสาวออฟฟิศกันบ้างนะจ๊ะ เอาใจสาวๆ วัยทำงานกันบ้าง สำหรับลุกค์และไลฟ์สไตล์ของ วิธีแต่งหน้าสาวออฟฟิศ นี้จะของเน้นหนักไปที่ความมั่นและบุคคลิกที่ดูเฉียบขาดและดูดีมีสไตล์อีก ด้วยค่ะ ด้วยโทนสีของ วิธีแต่งหน้าสาวออฟฟิศ นี้จะช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพของคุณให้ดูเป็นสาวที่มีความมั่นใจอย่างเปรี่ยม ล้นกันเลยล่ะค่ะ และแน่นอนว่าเรายังคงมาพร้อมคลิปวีดีโอสอนการแต่งหน้าสาวออฟฟิศที่จะทำให้ คุณผู้หญิงได้เข้าใจขั้นตอนและเทคนิคการแต่งหน้าได้ดียิ่งขึ้นไปอีกค่ะ สำหรับสไตล์วิธีแต่งหน้าสาวออฟฟิศนี้คงจะช่วยในเรื่องการแต่งหน้าของสาวๆ ออฟฟิศหลายๆ ท่านให้แลดูเป็นเรื่องได้อย่างไม่ยากเลยจริงไหมค่ะ

คลิปวีดีโอ วิธีแต่งหน้าสาวออฟฟิศ



เป็นไงกันบ้างค่ะกับวิธีการแต่งหน้าสาวออฟฟิศอีกหนึ่งสไสตล์ที่เรานำมาฝาก ให้ได้อินเทรนด์และปรับเปลี่ยนลุคสไตล์ที่คุณอยากให้เป็นได้อย่างที่ใจคุณ สั่งได้กันเลยไหมเอ่ย คราวหน้าเราจะนำเทรนด์แฟชั่นวิธีการแต่งหน้าสาวออฟฟิศแบบไหนมาฝากกันอีกก็ อย่าลืมที่จะต้องติดตามกันไปตลอดด้วยนะจ๊ะ และวันนี้เราก็ยังคงหวังเช่นเคยว่าวิธีการแต่งหน้าสาวออฟฟิศที่เรานำมาสอน ให้กับคุณผู้หญิงกันในวันนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคุณผู้หญิงทุก ท่านที่กำลังมองวิธีการแต่งหน้ารวมขั้นตอนและเทคนิคอย่างละเอียดนะค่ะ 

ที่มา:www.n3k.in.th 

3 สูตรสวยด้วยธรรมชาติ

"โบท็อกซ์ คอลลาเจน ไอออนโต เอเอชเอ อัลตร้าโซนิค หรือเลเซอร์" ถึงแม้จะมีนวัตกรรมใหม่เกิดขึ้นมากมาย แต่ใช่ว่าการดูแลตัวเองให้ดูดีนั้นจะต้องพึ่งเครื่องสำอางหรืออุปกรณ์ทัน สมัยเท่านั้น เพราะนอกจากสิ่งเหล่านี้จะมีราคาแพงแล้ว การฉีดสารต่างๆ เข้าไปที่ใบหน้าก็อาจลงท้ายด้วยภาวะแทรกซ้อนที่ไม่อาจเรียกกลับคืนมาเหมือน เดิมได้

ดังนั้นเราจึงมี เคล็ดลับดีๆ เพื่อดูแลความงามด้วยผักผลไม้จากธรรมชาติ ที่เรียกว่าสวยได้และประหยัดด้วยมาฝากค่ะ
  1. มันฝรั่งลดรอยคล้ำใต้ตา ถ้าช่วงไหนนอนน้อยจนรู้สึกว่าใต้ขอบตามีรอยคล้ำอยู่ล่ะก็ ลองใช้มันฝรั่งสดฝานเป็นแผ่นบางๆ แล้วนำมาแปะที่ใต้ตา ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที วิธีนี้จะช่วยทำให้ดวงตาสดชื่นและผิวกระจ่างใสขึ้นได้ 
  2. กล้วยลบริ้วรอย บดกล้วยหอมหรือกล้วยน้ำว้า พอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จากนั้นก็ล้างออกด้วยน้ำอุ่นแล้วจึงตามด้วยน้ำเย็นอีกที เพื่อปิดรูขุมขน เช็ดหน้าให้แห้งด้วยผ้าสะอาดเบาๆ
  3. สมุนไพรเติมความสดชื่น ช่วงที่หน้าตาร่วงโรย ต้องลองสูตรนี้ค่ะ โดยนำขิงสับละเอียด 1/4 ถ้วย ผักชีฝรั่งแห้งอีก 1/4 ถ้วย ผิวมะนาวที่ขูดแล้ว 1/2 ถ้วยจากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดเทรวมกันแล้วห่อด้วยผ้าขาวบางมัดให้แน่นก่อนใส่ ในอ่างอาบน้ำ ซึ่งจะช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันตา เพราะขิงช่วยทำให้เลือดลมไหลเวียนดี แล้วกลิ่นหอมของมะนาวและผักชีฝรั่งแห้งนี่แหละที่ทำให้เราสดชื่นได้

เรื่องของยาเคมีบำบัด เรื่องลึกแต่ไม่ลับ

ราทราบกันดีว่า ยาเคมีบำบัด เป็น ยารักษามะเร็ง โดยเฉพาะที่มีฤทธิ์ทำลาย ยับยั้งการเจริญเติบโตและแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ซึ่งอาจใช้ร่วมกับการผ่าตัด การฉายแสง หรือให้ยาฮอร์โมน โดยยาที่ใช้อาจเป็นชนิดเดียวหรือหลายชนิดร่วมกัน ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดของมะเร็งและระยะของโรค รวมทั้งสภาวะของผู้ป่วย สำหรับวิธีการให้มีหลายวิธีขึ้นกับชนิดของโรคและชนิดของยา ได้แก่ การรับประทาน ฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือใต้ผิวหนัง ฉีดเข้าบริเวณไขสันหลัง ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ โดยฉีดเข้าหลอดเลือดดำโดยตรงหรือผสมยาเคมีบำบัดในขวดสารน้ำและให้หยดอย่าง ต่อเนื่องเข้าหลอดเลือดดำ และฉีดเข้าช่องท้อง 

       เพื่อช่วยให้ผู้ที่เป็นมะเร็งได้รับการบำบัดอย่างถูกวิธีและปลอดภัย เรามีคำแนะนำดังนี้

 
การเตรียมตัวก่อนให้ยาและการปฏิบัติขณะรับยาเคมีบำบัด
       1.บำรุงร่างกายให้แข็งแรง โดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม  ผักและผลไม้ ควรรับประทานอาหารที่รสไม่จัด ย่อยง่าย และดื่มน้ำมาก ๆ ไม่น้อยกว่าวันละ 2–3 ลิตร
       2.พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้สงบ
       3.หาก มีฟันผุหรือเหงือกอักเสบ ควรพบทันตแพทย์เพื่อทำการรักษาก่อนเริ่มรับยาเคมีบำบัด แต่ถ้าต้องการรักษาฟันผุหรือเหงือกอักเสบระหว่างนับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด จะต้องตรวจเลือดก่อนทำฟันเพื่อดูจำนวนเกร็ดเลือด
       4.รับการตรวจเลือดเพื่อดูความพร้อมของร่างกายก่อนให้ยา
       5.รับประทานอาหารก่อนเริ่มรับยาเคมีบำบัดประมาณ 2–3 ชม.ควรปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนเริ่มรับยา
       6.นอน ในท่าที่สบายที่สุด ไม่ควรเคลื่อนไหวหรือยกแขนข้างที่รับยามากเกินไป(ในกรณีที่ให้ยาทางหลอด เลือดดำ)ไม่เปิด ปิด หรือปรับหยดของสารน้ำเอง หากสารน้ำหยดเร็วปกติหรือมีอาการปวดบวมบริเวณที่ได้รับสารน้ำควรแจ้งให้เจ้า หน้าที่ทราบทันที
       7.บ้วนปากบ่อย ๆ ก่อนและหลังอาหารด้วยน้ำอุ่น หรือน้ำเกลืออ่อน ๆ เพื่อช่วยให้ปากสะอาดและเพิ่มความอยากอาหาร
       8.ควรแจ้งอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับท่านในระหว่างได้รับยาเคมีบำบัดให้แพทย์ทราบเพื่อจะได้รับการดูแลต่อไป

ระยะเวลาและจำนวนครั้งของการให้ยาเคมีบำบัด
       โดยทั่วไปแพทย์จะให้ยาเคมีบำบัด 3 ชุดขึ้นไป แต่ละครั้งอาจใช้เวลา 1–2 วัน หรือมากกว่า และมีระยะพักของการให้ยาแต่ละครั้งแตกต่างกันขึ้นกับการรักษา โดยมากมักจะให้ประมาณ 6 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค ตลอดจนการตอบสนองต่อยา จึงมีความจำเป็นอย่างมากที่ท่านต้องมารับยาตามนัดทุกครั้ง หากไม่สามารถมารับการรักษาตามนัดได้ ควรสอบถามกับแพทย์เพื่อพิจารณาเลื่อนการรักษาออกไป ไม่ควรขาดการรักษาไปเอง

       นอกจากนี้ก่อนรับยา และช่วงระหว่างรับยาแต่ละครั้ง แพทย์จะตรวจร่างกายและตรวจเลือดเพื่อประเมินว่าสุขภาพร่างกายของท่านแข็งแรง พอที่จะรับยาในครั้งนั้น ๆ ได้หรือไม่ และภายหลังการให้ยาเคมีบำบัด แพทย์จะมีการติดตามผลการรักษาเป็นระยะ ๆ โดยการตรวจร่างกาย การตรวจภายใน ตรวจเลือด เอกซเรย์ปอด การตรวจอัลตราซาวนด์ การตรวจคอมพิวเตอร์สแกนต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ หากผลการรักษาไม่ดีพอ หรือเนื้องอกไม่ยุบ แพทย์จะเปลี่ยนชนิดของยาเคมีบำบัด หรือเปลี่ยนวิธีการรักษาตามความเหมาะสมแล้วแต่ละราย

ขณะรับยาเคมีบำบัดจะสามารถใช้ยาอื่นร่วมด้วยได้หรือไม่
       ยาบางชนิดอาจมีผลต่อยาเคมีบำบัด ท่านควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่าใช้ยาอะไรอยู่เป็นประจำ และควรหลีกเลี่ยงการซื้อยารับประทานเองในระหว่างที่ท่านได้รับยาเคมีบำบัด

ผลข้างเคียงจากการรับยาเคมีบำบัดมีหรือไม่
       ยาเคมีบำบัดแทบทุกชนิดจะมีผลข้างเคียง โดยอาจมีอาการขณะกำลังได้รับยาเคมีบำบัดหรือภายหลังจากได้รับยาแล้ว สาเหตุเกิดจากขณะที่ยาไปทำลายเซลล์มะเร็งที่กำลังแบ่งตัวก็อาจจะมีผลต่อ เซลล์ปกติของร่างกายที่มีการแบ่งตัวได้เช่นกัน แต่จะมีผลน้อยกว่าและมีผลต่อเซลล์บางชนิดเท่านั้น ท่านควรแจ้งผลข้างเคียงของยาที่เกิดกับท่านให้แพทย์ทราบทุกครั้ง ในขณะที่ได้รับยาหรือก่อนมารับยาครั้งต่อไป เพื่อที่แพทย์จะได้ปรับขนาดของยาให้เหมาะสมกับท่าน ซึ่งผลข้างเคียงนี้ มิใช่จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยทุกราย และขึ้นกับชนิดของยาเคมีบำบัด

การปฏิบัติตัวเมื่อกลับบ้าน
        1.ทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ หลีกเลี่ยงการทำงานหนักและควรพักผ่อนให้เพียงพอ
        2.ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ
        3.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อยครั้งในระยะที่มีอาการคลื่นไส้ หรืออาเจียน และดื่มน้ำไม่น้อยกว่าวันละ 2–3 ลิตร
        4.หลีกเลี่ยงการไปในสถานที่แออัด เช่น โรงภาพยนตร์ และหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ผู้ป่วยโรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น ไข้หวัด วัณโรคปอด ผู้ป่วยที่มีไข้
        5.การ มีเพศสัมพันธ์จะต้องไม่รุนแรง และคู่สมรสจะต้องไม่มีการติดเชื้อของอวัยวะสืบพันธุ์ ยกเว้นในรายที่มีเลือดออกทางช่องคลอด หรือตามคำแนะนำของแพทย์
        6.ภายหลังได้รับยาเคมีบำบัดประมาณ 2 สัปดาห์ ควรรับการตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของไขกระดูก และนำผลเลือดมาให้แพทย์ดูรวมทั้งปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ

        ที่สำคัญจะต้องกลับมารับยาเคมีบำบัดตามแพทย์นัด ในกรณีที่มีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ หนาวสั่น มีเลือดออก ท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียนมาก ควรมาโรงพยาบาลทันที ไม่ต้องรอให้ถึงวันนัด


บทความโดย: รศ.นพ.ชัยยศ ธีรผกาวงศ์ 
ภาควิชาสูติศาสตร์ นรีเวชวิทยา   คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

อันตรายจากการฉีดสารแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย

ในปัจจุบันจะพบว่าคนหนุ่มสาวในวัยทำงานมีความสนใจในส่วนต่างๆ ของร่างกายมากขึ้น  ทั้งผิวพรรณใบหน้ารูปร่าง    มีการผ่าตัดเพื่อเสริมเติมแต่งส่วนที่ขาดส่วนที่บกพร่องให้ดูดียิ่งขึ้น  และมีการแก้ไขส่วนที่ไม่พึงพอใจในร่างกายด้วยการฉีดเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาด เพื่อแก้ไขริ้วรอย   โดยสารที่ฉีดที่ได้มาตรฐานจะไม่มีปฏิกิริยาต่อร่างกาย  ไม่แพ้  ไม่เป็นสารก่อมะเร็ง  สาร เหล่านี้ต้องฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ได้รับการฝึกฝนมาโดยเฉพาะ และจะต้องฉีดด้วยความระมัดระวังเนื่องจากอาจจะมีผลข้างเคียงจากการฉีดเกิด ขึ้นได้  และยังมีสารอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่สมควรที่จะฉีดเข้าสู่ร่างกายเนื่องจากมีผลเสียที่จะเกิดขึ้นตามมามากมาย  แต่ก็มีการนำมีฉีดโดยบุคคลที่แอบอ้างว่าเป็นแพทย์   ในที่นี้จะกล่าวถึงสารกลุ่มที่สามารถฉีดเข้าสู่ร่างกายก่อนและในตอนท้ายจะกล่าวถึงกลุ่มที่ไม่ควรฉีดเข้าสู่ร่างกาย  

กลุ่มที่สามารถฉีดเข้าสู่ร่างกายได้มีดังนี้

            1. ฉีดเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาด  เช่นแก้มตอบ มีร่องแก้ม เบ้าตาโบ๋ลึก เป็นต้น   การ ฉีดเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดนั้นสามารถใช้ไขมันของร่างกายตัวเองโดยแพทย์จะ ดูดไขมันจากหน้าท้อง จากสะโพกหรือต้นขาในจำนวนที่เหมาะสม แล้วนำมาฉีดเข้าไปในตำแหน่งที่ต้องการแก้ไขก็จะสามารถทำให้แก้มที่ตอบดูเต็ม ขึ้น ร่องแก้มตื้นขึ้น ส่วนบริเวณเบ้าตาคงจะต้องฉีดด้วยความระมัดระวัง ข้อดีของการใช้ไขมันของตัวเองนั้นไขมันจะอยู่ในร่างกายอย่างถาวรแต่อาจจะถูก ดูดซึมไปบ้างหลังฉีด  ข้อเสียคือต้องมีขั้นตอนของการดูดไขมันเพิ่มขึ้น 

2. ฉีดเพื่อลดรอยร่องลึกบนใบหน้า เช่นรอยร่องบริเวณหัวคิ้ว ร่องแก้ม ร่องรอบริมฝีปาก แผลเป็นที่เป็นหลุมลึก  และยังใช้ฉีดใช้ริมฝีปากให้อูมอิ่มขึ้นอีกด้วย ที่นิยมใช้ในปัจจุบันเป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นคือ  ไฮยารูโลนิกแอซิดที่เรียกสั้นๆ ว่า เอชเอ โดยทั่วไปเป็นสารที่เป็นส่วนประกอบพื้นฐานของผิวหนัง น้ำในข้อ ของเหลวในดวงตาอยู่แล้ว   ข้อดีคือโอกาสแพ้สารชนิดนี้น้อยมาก ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก  และไม่ต้องทดสอบก่อนฉีด  แต่ข้อเสียคือฉีดแล้วอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน รอยร่องต่างๆ ก็จะกลับเป็นขึ้นเหมือนก่อนฉีด และราคาค่อนข้างแพง  อีกชนิดหนึ่งที่เคยเป็นที่นิยมคือ คอลลาเจน  แต่ปัจจุบันใช้ลดน้อยลงคุณสมบัติโดยทั่วไปคล้ายๆ กับเอชเอ แต่ก่อนใช้ต้องทดสอบก่อนว่าแพ้หรือไม่ 
    
            3.ฉีดเพื่อลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์บนใบหน้าเช่นรอยตีนกา รอยย่นบนหน้าผาก และรอยย่นระหว่างคิ้วที่เกิดจากการขมวดคิ้ว ร่องรอยเหล่านี้สามารถใช้สารที่สกัดจากแบคทีเรียที่เรียกว่าโบทูลินั่มทอกซิ น โดยที่สารชนิดนี้สามารถยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ  จะเห็นว่าถ้าต้องการให้กล้ามเนื้อในตำแหน่งใดหยุดทำงานก็เพียงฉีดสารชนิดนี้เข้าไปที่กล้ามเนื้อนั้นๆ   เช่น ต้องการให้รอยตีนกาหายไปก็จะฉีดเข้าบริเวณดังกล่าว หลังจากฉีดแล้ว 1-2 วันรอยตีนกาก็จะลดน้อยลงเนื่องจากกล้ามเนื้อไม่สามารถทำงานได้  แต่ ก็เป็นการหยุดทำงานชั่วคราวเท่านั้น หลังจากนั้น 4-6 เดือนเมื่อหมดฤทธิ์ของสารสกัดดังกล่าวรอยตีนกาก็จะกลับมาเหมือนเดิม ถ้าต้องการให้ริ้วรอยหายไปอีกก็ต้องฉีดซ้ำ  ข้อเสียคือริ้วรอยหายชั่วคราวไม่ถาวร  สิ้นเปลือง  และ หากขาดความชำนาญในการฉีดสารสกัดดังกล่าวอาจจะไหลไปในตำแหน่งไม่พึงประสงค์ก็ จะทำให้มีผลต่อกล้ามเนื้ออื่นๆใกล้เคียง เช่นไหลเข้าที่เปลือกตาบนทำให้หนังตาตก  ไหลเข้ากล้ามเนื้อตาทำให้ตาเข  แต่อาการแทรกซ้อนเหล่านี้สามารถหายได้หลัง 4-6 เดือนเมื่อหมดฤทธิ์ยา

            4.ฉีดเพื่อลดขนาด เช่นกรามใหญ่ น่องโต ปกติแล้วภาวะดังกล่าวสามารถแก้ไขได้โดยการผ่าตัด  แต่ปัจจุบันยังมีการใช้โบทูลินั่มทอกซินในการลดขนาดของกล้ามเนื้อ  กรามที่ใหญ่กางออกการฉีดกล้ามเนื้อที่บริเวณมุมกรามจะทำให้กล้ามเนื้อลดขนาดลงกรามจะดูเรียวขึ้น  กล้ามเนื้อน่องก็เช่นกันสามารถฉีดแล้วทำให้น่องเล็กลงได้  แต่ข้อเสียคือราคาค่อนข้างแพง หลังฉีดกรามอาจทำให้เคี้ยวอาหารที่แข็งลำบากขึ้น  ต้องฉีดทุกๆ 4-6 เดือนและหลายครั้ง เมื่อหยุดฉีดแล้วระยะเวลาหนึ่งกล้ามเนื้อดังกล่าวอาจกลับมาโตเหมือนเดิม

            กลุ่มที่ไม่ควรฉีดเข้าสู่ร่างกาย

สารสังเคราะห์กลุ่มนี้เป็นสารที่ไม่ได้มาตรฐาน ได้แก่ซิลิโคนเหลว พาราฟิน น้ำมันมะกอก เป็นต้น สารเหล่านี้ไม่ควรฉีดเข้าสู่ร่างกายเนื่องจากพบว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับ ประชาชนมานานนับสิบปี   นอกจากบุคคลทั่วไปแล้วยังมีนักแสดงนักร้องมีปัญหาจากการฉีด  สื่อต่างๆ ทั้งวิทยุโทรทัศน์ได้นำเสนอถึงอันตรายที่เกิดขึ้น ทางสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทยก็ได้ประชาสัมพันธ์ถึงผลเสียต่างๆ  แต่ปัญหาก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ตาม กฎหมายนั้นบุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่แพทย์ไม่สามารถฉีดสารใดก็ตามเข้าสู่ร่างกาย ผู้อื่น และการทำการรักษาพยาบาลต้องทำในสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณ สุขเท่านั้น  โดยจะมีบุคคลที่อ้างตัวเป็นแพทย์นำสารดังกล่าวโดยเฉพาะซิลิโคนเหลว   หลอกประชาชนว่าเป็นไขมันเทียมบ้าง คอลลาเจนบ้าง ฉีดเพื่อให้จมูกโด่งขึ้น  คางยาวขึ้น  แก้มอูมขึ้น  ฉีดหน้าอก สะโพก ตามแต่อยากจะให้ส่วนใดอูมใหญ่ขึ้น    โดยที่ซิลิโคนเหลวมีราคาถูกและอยู่ถาวร แต่มีภาวะแทรกซ้อนมากมายตั้งแต่อักเสบเป็นๆ หายๆ   ไหลย้อยไปสู่ตำแหน่งอื่น บริเวณที่ฉีดดูอูมบวมแข็งเป็นไต  ทำให้หน้าตาดูประหลาดผิดธรรมชาติ   เมื่อมีปัญหาคนไข้ก็จะมาพบแพทย์เพื่อให้แก้ไข  บาง คนเข้าใจผิดนึกว่าสามารถดูดออกได้ ความจริงแล้วสารดังกล่าวไม่สามารถดูดออกได้และการผ่าตัดยังไม่สามารถเอาส่วน ที่ฉีดออกมาได้หมดเลยอีกทั้งยังต้องตัดเอาเนื้อเยื่อที่ดีของคนไข้ที่มีสาร แปลกปลอมแทรกอยู่ออกมาอีกด้วย  เช่นหากสารเหล่านี้อยู่บริเวณแก้มบริเวณขมับที่มีเส้นประสาทอยู่  การผ่าตัดอาจทำอันตรายต่อเส้นประสาททำให้ปากเบี้ยว  ยักคิ้วไม่ขึ้น  มีบางคนได้รับการฉีดเพื่อให้หน้าอกโตขึ้นผลคือหน้าอกแข็งเป็นก้อน  บางรายแตกเป็นแผลเรื้อรัง เป็นที่น่าเสียดายที่ทำให้การผ่าตัดรักษาต้องตัดเนื้อหน้าอกทิ้ง  และยังทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนหน้าอกอีก 
  
นอกจากนั้นยังมีความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ชายที่นำพาราฟินเหลว  น้ำมันมะกอก  มาฉีดเข้าบริเวณอวัยวะเพศเพื่อเพิ่มขนาด  หาก มีความรู้และมีสติคงจะไม่ทำการกระทำดังกล่าวเนื่องจากว่าสารดังกล่าวเป็นสาร แปลกปลอมที่ร่างกายจะมีปฏิกิริยาต่อต้านไม่รับสารเหล่านั้นอย่างแน่นอน  หากฉีดสารดังกล่าวเข้าจะมีการอักเสบแข็งเป็นไต เจ็บปวด แตกเป็นแผลเรื้อรังในอนาคต  และสุดท้ายแล้วอวัยวะส่วนนี้ของร่างการจะไม่สามารถทำงานได้ปกติ  ต้องมาพบศัลยแพทย์ให้ผ่าตัดรักษา        ซึ่งแม้จะผ่าตัดรักษาให้แล้วรูปร่างและการทำงานก็ไม่สามารถกลับเป็นปกติเหมือนเดิม

จะเห็นได้ว่าสารสังเคราะห์ที่จะฉีดเข้าสู่ร่างกายนั้นมีทั้งที่สามารถฉีดเข้า สู่ร่างกายได้ และไม่สมควรฉีดเข้าสู่ร่างกาย ได้ทราบถึงข้อดีข้อเสียของสารแต่ละชนิด  ดังนั้นหากคิดจะฉีดเพื่อแก้ไขส่วนใดก็ตามทางที่ดีที่สุดควรจะปรึกษาแพทย์  และ ต้องฉีดด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นถึงจะปลอดภัย ไม่ควรไปรับการฉีดจากบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ในสถานที่ที่ไม่ใช่คลินิกหรือโรง พยาบาล เพราะอาจจะทำให้เกิดข้อภาวะแทรกซ้อนที่ไม่สามารถแก้ไขได้ซึ่งจะมีผลโดยตรง ต่อร่างกายและจิตใจ  


บทความโดย: อ.นพ.ธารา วงศ์วิริยางกูร  สาขาวิชาศัลยศาสตร์ตกแต่ง
ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

เทคนิควิธีการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว

วิธีลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วมีอยู่ 3-4 วิธี ส่วนใหญ่ไม่นิยมทำกัน แต่ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา มีคนทำกันบ้างแต่ไม่มากนัก สาเหตุที่ไม่ค่อยนิยมทำกัน เพราะวิธีการบางอย่างอาจจะต้องมีการทำผ่าตัดร่วมด้วย ผู้มารับการรักษา อาจต้องเจ็บตัวนอกเหนือจากเสียสตางค์แล้ว วิธีการเหล่านั้นคือ

1. การฉีดฮอร์โมนเข้าไปในร่างกาย เพื่อให้มีผลต่อการเผาผลาญพลังงานจากไขมัน นอกจากจะมีราคาแพงแล้วยังมีผลข้างเคียงรุนแรงค่อนข้างมาก ถึงขนาดมีการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะภายในบางอย่าง

2. การผ่าตัดมัดกระดูก ขากรรไกรให้เข้าหากัน ปากของคนนั้นๆ ก็จะไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ กลืนอาหารเหลวได้เท่านั้น คงไม่มีใครคิดอยากจะลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ในเมืองไทย

3. การผ่าตัดเพื่อ ลดขนาดของกระเพาะ หรือการตัดต่อลำไส้เล็กใหม่ให้สั้นลง เพื่อลดเวลาในการดูดซึมสารอาหารในระหว่างผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก นอกจากนี้มีคนทดลองใส่ลูกโป่งเข้าไปในกระเพาะ เพื่อให้มีที่ว่างน้อยลง

4. การผ่าตัดหรือการดูดไขมันหน้าท้องออก ทั้งสองวิธีมีการทำในเมืองไทยมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะบางคนโดยเฉพาะสุภาพสตรี มีไขมันหน้าท้อง ซึ่งทำให้หน้าท้องหย่อนไม่สวยงาม จึงไปพบแพทย์เพื่อผ่าตัดเอาไขมันและทำให้หน้าท้องตึงขึ้น ส่วนการดูดไขมันออกทางหน้าท้อง ใช้วิธีเจาะช่องหน้าท้องแล้วเอาเครื่องมือสอดเข้าไปในชั้นไขมัน ใต้ผิวหนังเพื่อดูดเอาไขมันออก

วิธีที่กล่าวมาทั้งหมด คงจะไม่มีวิธีไหนดีไปกว่าการค่อยๆ ลดน้ำหนัก โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภคอาหาร และการออกกำลังกาย แต่ถ้าท่านต้องการทำจริงๆ ท่านควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเสียก่อนที่ท่านจะตัดสินใจ

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการลดน้ำหนัก

เนื่องจากการลดน้ำหนักเป็นสิ่งที่ทำได้ด้วยความยากลำบาก คนที่มีน้ำหนักเกินยังไม่เห็นผลร้ายที่เกิดกับตนเองในระยะสั้นๆ ดังนั้นคนทั่วไปจึงมักไม่ค่อยมีความตั้งใจจริงที่จะลดน้ำหนัก และเมื่อมีความต้องการจะลดน้ำหนัก ก็จะต้องการให้ลดลงไปอย่างรวดเร็ว จึงมีความเชื่อผิดๆ หรือการโฆณณาชวนเชื่อต่างๆ ออกมาอยู่เป็นประจำ ความเชื่อผิดๆ เหล่านี้ได้แก่
  1. ความเชื่อที่ว่าท่านสามารถลด น้ำหนักได้สัปดาห์ละหลายๆ กิโลกรัม โดยการรับประทานยาหรืออาหารสำหรับลดน้ำหนัก ซึ่งการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วส่วนใหญ่จะเป็นการขับน้ำออกจาก ร่างกาย ไม่ใช่ไขมันส่วนเกิน
  2. ความเชื่อที่ว่าท่านจะลดน้ำหนักโดยการอดอาหาร เป็นมื้อๆ ไป ถ้าหากหิวก็ให้อดทนเอา วิธีนี้คงจะเป็นวิธีที่ทรมานที่สุด เพราะท่านอาจจะเป็นโรคกระเพาะเสียก่อน และเมื่อถึงเวลารับประทานมื้อถัดไป ท่านอาจจะรับประทานมากกว่าเดิม
  3. ความเชื่อที่ว่าท่านไม่จำเป็นต้องลด น้ำหนัก เพราะอ้วนกันทั้งครอบครัว ความอ้วนเป็นกรรมพันธุ์ ความเชื่อเหล่านี้จะยิ่งทำให้อ้วนมากยิ่งขึ้น เพราะจริงๆ แล้วโรคอ้วนไม่ใช่กรรมพันธุ์ แต่การสร้างเซลล์ไขมันส่วนเกินได้ง่ายในครอบครัวของคนอ้วนเป็นกรรมพันธุ์ แต่ก็ป้องกันได้โดยการเลือกอาหารด้วยความระมัดระวังและการออกกำลังกาย
การลดน้ำหนักที่ถูกต้องคือ การลดน้ำหนักที่ค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีผลต่อร่างกายอย่างรวดเร็ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหารให้เหมาะสม และการออกกำลังกายเท่านั้น ที่เป็นหัวใจของการลดน้ำหนักที่ได้ผลดีที่สุด

เลเซอร์กับการเสริมสวยความงาม


1. ความเป็นมาในการใช้เลเซอร์ในการตกแต่งเสริมความงาม
ตอบ เลเซอร์ได้มีการนำใช้ในด้านผิวหนังมาหลายสิบปีแล้ว แต่เพิ่งเริ่มจะนำมาใช้ในการตกแต่งเสริมความงามประมาณ 10 ปี ที่ผ่านมา เหตุผล คือ เลเซอร์ที่ใช้ในอดีตหลังจากการรักษาแล้วจะมีแผลเป็นเกิดขึ้น ปัจจุบันมีการค้นพบทฤษฎีใหม่ๆที่จะดัดแปลงเลเซอร์ และสามารถที่จะนำมารักษาหรือตกแต่งเสริมสวย โดยไม่มีแผลเป็นเกิดขึ้นหลังจากการรักษา การรักษาที่นิยมได้แก่ การลดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า รอยตีนกา ปานดำปานแดง กระเนื้อ รอยสัก นอกจากนี้ในปัจจุบันที่นิยมอีกอย่างคือ การกำจัดขน

2 . ลักษณะของเลเซอร์ เป็นอย่างไร จะเหมือนหรือแตกต่างจากรังสีที่เราใช้ในการรักษาโรคต่างๆหรือไม่
ตอบ ไม่เหมือนกัน แสงเลเซอร์มีลักษณะพิเศษ สามารถทำลายเฉพาะสิ่งที่เราต้องการ ไม่ทำลายเนื้อเยื่อปกติข้างเคียง จึงไม่มีผลเกี่ยวกับเรื่องรอยแผลเป็นหลังจากการรักษา ตัวอย่างเช่น คนที่มีเส้นเลือดฝอยบนใบหน้า ในอดีตถ้าเรานำความร้อนมาทำลายธรรมดา แทนที่จะทำลายเฉพาะเส้นเลือดนั้น ความร้อนจะทำลายเนื้อเยื่อบริเวณข้างเคียงด้วย ดังนั้นปัญหาที่ตามมา คือ จะเกิดแผลเป็นในบริเวณข้างเคียงด้วยแต่ในปัจจุบัน ก็จะมีการพัฒนาการทำลายเฉพาะเส้นเลือดแดง แต่ในการที่เราจะไปรักษาด้วยเลเซอร์กับที่ไหน เราควรจะเลือกเครื่องและชนิดเลเซอร์ที่ถูกต้อง เนื่องจากเครื่องเลเซอร์แต่ละละเครื่องก็จะใช้เฉพาะโรค ซึ่งจะแตกต่างกัน เครื่องหนึ่งอาจจะรักษาได้เพียงโรคเดียว เช่น เครื่องที่รักษาเฉพาะรอยเหี่ยวย่น ก็จะไม่สามารถนำไปรักษารอยสักได้ 

3 .การยิงเลเซอร์จะมีผลข้างเคียงทำให้ผิวมีสีคล้ำลง หรือมีปัญหาอื่นๆหรือไม่
ตอบ อย่างที่ได้เรียนข้างต้น ถ้าเราทราบหรือเลือกการรักษาที่เหมาะสม คือ 1.เลือกเครื่องที่ถูกต้องกับโรคที่เป็น 2. แพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ 3. ใช้วิธีที่ถูกต้อง โอกาสที่จะเกิดปัญหาก็จะน้อยมาก

4. ในการใช้เลเซอร์ในการรักษามีข้อจำกัดเรื่องใดบ้างหรือไม่
ตอบ ข้อจำกัดนั้น ขึ้นอยู่กับชนิด คือ 1. บาง รายที่เกิดรอยแผลเป็นได้ง่าย เช่น รอยแผลเป็นนูน หรือที่เราเรียกว่า คลีลอยด์ ในกลุ่มนี้จะต้องระมัดระวัง ซึ่งแสดงว่าคนในกลุ่มนี้จะเกิดปัญหามีรอยแผลเป็นได้ง่าย 2. หลังจากที่มีการยิงเลเซอร์แผลอาจจะดำได้ง่าย ซึ่งจะมีวิธีการป้องกันก็คือ จะต้องหลบแดดในระยะแรก 3.หลังจากการยิงเลเซอร์ควรมีการดูแลความสะอาดบริเวณแผล และระวังการติดเชื้อ 

5. วิธีการรักษาเป็นอย่างไร
ตอบ ขั้นตอนแรก ก็คือ การฉีดยาชา ซึ่งในปัจจุบันนี้มีอยู่ 2 ชนิด คือ ยาฉีด ยาทา ซึ่งก็จะต้องเลือก ตามลักษณะความลึกของบริเวณรอยที่จะทำ เลือกเครื่องที่ถูกต้อง ซึ่งสามารถทำซ้ำได้

6. การดูแลแผลบริเวณรอยแผลที่ทำ
ตอบ แผลจะขึ้นอยู่กับการใช้เครื่องเลเซอร์แต่ละชนิด ซึ่งบางเครื่องไม่มีแผลเลยก็ได้ ดังนั้นผลแทรกซ้อนจะมีไม่ค่อนมาก ยกเว้นบางกลุ่ม เช่น การยิงไฝ ลบรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ในกรณีนี้จะต้องดูแลบริเวณแผลไม่ให้ติดเชื้อ อาจจะต้องรับประทานยา ทายาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ จะต้องล้างแผล ดูแลอย่างถูกต้อง ไม่ควรถูกน้ำ แต่ถ้าโดนน้ำแล้วรู้จักทำความสะอาดให้ดีก็ไม่เป็นอะไร

7. มีความจำเป็นต้องกลับมาพบแพทย์หรือไม่
ตอบ
ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก เนื่องจากถ้ามีความผิดปกติเกิดขึ้น แพทย์จะได้วินิจฉัยได้ตั้งแต่เบื้องต้น เพื่อเป็นการรักษาและป้องกันการเกิดรอยแผลเป็น ซึ่งจะต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์ที่เชี่ยวชาญ

8. ถ้าต้องการที่จะทำการยิงเลเซอร์ ผู้ทำควรคำนึงถือเรื่องใดบ้าง อาทิ เรื่องสถานที่ แพทย์ผู้รักษาเป็นต้น
ตอบ ถือเป็นเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องให้ความสำคัญ คือ 1. ผู้ทำการรักษาโดยเฉพาะควรเป็นแพทย์ 2. ควรเป็นแพทย์ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเลเซอร์ 

9. ผู้สนใจสามารถที่จะรับการบริการที่ใด ได้บ้าง
ตอบ ถ้ามีความสนใจในเรื่องการยิงเลเซอร์ ควร มาพบแพทย์ผิวหนังจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะแพทย์ผิวหนังจะมีความรู้ ความเชี่ยวชาญทางด้านผิวหนัง นอกจากนั้น ควรเลือกดูถึงสถานที่ ประสบการณ์ของแพทย์ผู้ทำการรักษา เป็นต้น

10. ข้อแนะนำช่วงท้ายรายการ
ตอบ สิ่งที่สำคัญก็คือ เราควรจะต้องรู้ว่าเลเซอร์มีอยู่หลายชนิด ควรเลือกชนิดที่เหมาะสม ควรคำนึงผลข้างเคียงภายหลัง สุดท้าย คือ ต้องให้ความสำคัญต่อ เรื่องของแพทย์ผู้ทำการรักษา

บทความโดย: ผศ.นพ.นิยม  ตันติคุณ 
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

รู้ทันความโกรธ (ตอนที่ 2)

                                                            
ความโกรธกับการใช้สารเสพติด
            คนบางคนไม่รู้จะจัดการกับความโกรธอย่างไรก็เลยใช้วิธีแช่แข็งมันโดยผลักไปเก็บ ไว้ในใจที่บางคนเรียกว่าเก็บกด ให้ดูเหมือนไม่มีมันอยู่ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ เพราะมันคือระเบิดที่รอวันปะทุ  ผู้ ที่มีโอกาสติดสารเสพติดไม่รู้ว่าตัวเองมีปัญหาด้านความโกรธ และไม่ได้คิดว่าปัญหาความโกรธเกี่ยวข้องกับการติดเหล้า ยา หรือสารเสพติด เพราะเหล้า ยาหรือสารเสพติดอื่นๆจะช่วยหลอกว่าใช้แล้วสบาย ผ่อนคลาย แม้ว่าเมื่อหมดฤทธิ์ยาปัญหาก็คงยังอยู่ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่สบายใจก็กลับจำได้ว่าเมื่อใช้ยาหรือสารเสพติดนั้น แล้วจะสบายใจขึ้นจึงวนเวียนกลับไปใช้อยู่ จนเกิดการดื้อยาทำให้ต้องเพิ่มขนาดขึ้นตามเวลาที่ผ่านไปและในที่สุดก็ขาดมัน ไม่ได้ ซึ่งเมื่ออยู่ในภาวะเสพติดจนขาดสติสัมปชัญญะอารมณ์รุนแรงก็จะระเบิดออกมาไม่ ทางใดก็ทางหนึ่ง

ความโกรธกับโรคซึมเศร้า
          เรามักจะคิดว่ามันคนละเรื่อง เพราะดูเหมือนแตกต่างกันอย่างสุดโต่ง เพราะคิดว่าถ้าได้ระบายความโกรธออกมาแล้วจะโล่งใจและมันน่าจะมีความ สุขมากกว่า แต่ในความเป็นจริงลองกลับไปดูอารมณ์จริงๆหลังจากระบายออกไป จะเห็นได้ว่ามันโล่งก็จริงแต่หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยคือความรู้สึกผิด และเสียใจ บางคนกลับมาโกรธตัวเองว่าไม่รู้จักระงับอารมณ์ เสียภาพลักษณ์ ขาดวุฒิภาวะฯ และที่ร้ายที่สุดคืออาจจะทำให้เสียโอกาสดีๆในชีวิตไป
            ตรงกันข้ามคือการที่ไม่แสดงอารมณ์โกรธเลยเพราะคิดว่าดูไม่ดีหรือกลัวว่าจะไม่ ได้รับการยอมรับจากคนอื่น ดังนั้นเมื่อมีเรื่องที่ทำให้โกรธก็จะเก็บกดตลอดเวลาใบหน้าจะเปื้อนยิ้มอยู่ เสมอ แต่ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าอมทุกข์อยู่ภายใน ความโกรธไม่ได้หายไปไหนจะสะสมพอกพูนอยู่ในตัวรอวันระเบิดเมื่อหมดแรงกดหรือ เมื่อมันเต็มล้น เหมือนกาน้ำที่ปิดฝาสนิทตั้งอยู่บนเตาไฟตลอดเวลา
            ทั้งสองกรณีดังกล่าวข้างบนล้วนทำให้เกิดโรคซึมเศร้าได้ทั้งคู่ ทั้งนี้เพราะความคิดที่สุดโต่งทั้งสองด้านคือด้านหนึ่งก็โพล่งออกมาตรงๆแล้ว เสียใจภายหลัง แต่อีกด้านหนึ่งคือเก็บกดเอาไว้จนมันระเบิดออกมาอย่างรุนแรงและจบลงด้วยความ เสียใจของตนเองและคนที่เกี่ยวข้อง

ความสัมพันธ์ระหว่างความเศร้าและอารมณ์โกรธ
          ความรู้สึกเบื่อ เหงา หดหู่ใจ ท้อแท้ หมดหวัง รู้สึกไม่มีคุณค่า รู้สึกผิด ไม่สามารถควบคุมความคิดในแง่ร้ายของตัวเองได้แม้จะพยายามแค่ไหนก็ตาม สมาธิไม่ดี ความจำเสีย อะไรที่เคยทำได้ง่ายๆกลับเป็นเรื่องยาก น้ำหนักลดหรือเพิ่มผิดปกติ การนอนหลับผิดปกติ อาจจะตื่นกลางดึกและไม่สามารถหลับต่อได้หรือนอนหลับมากเกินไป มีอาการปวดตามที่ต่างๆในร่างกายโดยหาสาเหตุไม่ได้ เหล่านี้เป็นอาการที่พบทั่วไปในผู้ป่วยซึมเศร้า แต่คนที่ความโกรธและเป็นแรงขับให้เกิดความเศร้าจะไม่เหมือนการโกรธทั่วๆไป แต่จะเป็นความโกรธที่ผสมความเกลียดทั้งต่อตัวเอง คนอื่น หรือสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกไม่ดี พฤติกรรมที่เห็นได้ตั้งแต่แรกคือการปลีกตัวหรือแยกตัวไปจากครอบครัว เพื่อนฝูง มีผลการทำงานหรือการเรียนแย่ลง ขาดแรงจูงใจ นอนไม่หลับ ท้อแท้ หมดหวัง รู้สึกผิด ความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอาการเหล่านี้มาจากความรู้สึกโดดเดี่ยว ปัญหาเศรษฐกิจ การงาน ปัญหาครอบครัว การขาดการสนับสนุนทางสังคม การใช้สุราและสารเสพติด หรือแม้แต่การได้รับประสบการณ์ไม่ดีในวัยเด็กและกรรมพันธุ์

ลักษณะที่แสดงออกของความเศร้า
          พฤติกรรมการแสดงออกของความเศร้ามีความแตกต่างไปตามเพศและวัย วัยรุ่นอาจจะแสดงออกด้วยอาการหงุดหงิด ก้าวร้าว โผงผาง ตรงไปตรงมา ส่วนคนหนุ่มสาวจะออกทางอาการเจ็บปวดส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งเป็นกลไกทางจิตใจที่จะบอกถึงความไม่พึงพอใจในสภาวะที่เป็นอยู่และเป็น การร้องขอความช่วยเหลืออ้อมๆ สำหรับผู้สูงอายุความเศร้ามักมาจากการสูญเสีย เช่นการตายจากของคู่สมรส การเกษียณจากงาน อิสระที่จะทำอะไรต่างๆด้วยตนเองลดลงตามสภาพร่างกายและสุขภาพ ดังนั้นการแสดงออกก็มักเป็นการบ่นถึงสิ่งต่างๆดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งความจำเสียทำให้เกิดการพูดหรือถามซ้ำๆถึงเรื่องที่แม้จะ เพิ่งผ่านไปทำให้ลูกหลานอาจจะแสดงความรำคาญหรือมีปฏิกิริยาจนทำให้ผู้สูง อายุเกิดความน้อยใจหรือโกรธพลุ่งออกมาได้
            ผู้ชายมักแสดงออกออกด้วยการบ่นถึงความล้า หงุดหงิด มีปัญหาการนอนหลับ ขาดความสนใจในเรื่องรอบๆตัว และใช้สุราหรือสารเสพติดเป็นทางออก ในขณะที่ผู้หญิงมักแสดงออกด้วยความรู้สึกผิด กินมากนอนมากน้ำหนักเพิ่ม หรือตรงกันข้ามกินไม่ได้นอนไม่หลับน้ำหนักลด อัตราการฆ่าตัวตายของผู้หญิงสูงกว่าผู้ชายประมาณ 2 เท่าเนื่องจากฮอร์โมนเป็นตัวกระตุ้นสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใกล้จะมีประจำเดือน บางคนจะมีอาการ Premenstrual syndrome (PMS) หรือหลังคลอดบุตรอาจจะมีอาการ Postpartum blue ให้เห็น

            สัญญาณเตือนการคิดฆ่าตัวตายหรือสัญญาณการร้องขอความช่วยเหลือทางอ้อม
1.   พูดออกมาว่าจะฆ่าตัวตาย หรือพูดทำนองว่าคนอื่นคงจะดีขึ้นถ้าตัวเองตายไปซะ หรือแสดงท่าทีให้เห็นว่าหมดหวังหรือถึงทางตัน
2.    หมกมุ่นกับเรื่องความตายผิดปกติ หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆซึ่งมีแรงขับมาจากความรู้สึกอยากตาย
3.    ไปพบคนคุ้นเคยหรือคนที่ไม่ได้พบกันมานานเพื่อล่ำลา
4.    เปลี่ยน อารมณ์อย่างรวดเร็วจากเศร้ามาสู่ความสงบ นิ่ง และดูเหมือนมีความสุข สิ่งนี้อาจจะบอกทางอ้อมว่าเขาตัดสินใจได้แล้วว่าจะฆ่าตัวตาย

          สรุป     การที่มีอารมณ์โกรธเป็นครั้งคราวเป็นเรื่องปกติของชีวิต แต่ถ้าเป็นบ่อยและเป็นอยู่นานไม่ค่อยหายไปอาจจะเป็นเรื่องของความเศร้าที่ อยู่เบื้องหลังก็ได้ ฉะนั้นอารมณ์โกรธจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ถ้าสามารถรับรู้ได้เร็วถูกต้องและสามารถตั้งรับได้เหมาะสมก็เป็นเรื่องปกติ อาจจะเป็นแรงผลักให้เกิดสิ่งสร้างสรรค์ต่างๆได้ เช่นโกรธที่ไม่ได้เกิดมาสบายเหมือนคนอื่นก็อาจจะพัฒนาตัวเองให้มีความสามารถ อดทนจนสร้างเนื้อสร้างตัวให้ดีกว่าเดิมได้ แต่ตรงกันข้ามถ้ามีอะไรไม่พอใจแล้วกลับท้อแท้ สงสารตัวเอง จมปลักกับความคิดนั้นๆความเศร้าก็จะตามมา ที่ร้ายก็คืออาจจะเปลี่ยนไปเป็นแค้นและทำเรื่องไม่เหมาะสมจนเดือดร้อนทั้ง ตัวเองและสังคม ดังนั้นถ้าพบว่าตนเองเศร้าอาจจะต้องลงไปสำรวจจริงๆจังๆว่ามีเรื่องของความ โกรธซ่อนและผลักดันอยู่ภายในหรือไม่ จะได้แก้ไขให้ตรงประเด็น


บทความโดย: รศ.กนกรัตน์ สุขะตุงคะ
ที่ปรึกษาสาขาวิชาจิตวิทยาคลินิก  ภาควิชาจิตเวชศาสตร์  คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล


รู้ทันความโกรธ (ตอนที่ 1)

                                                          
ความโกรธ
          ความหมาย ความโกรธเป็นอารมณ์ปกติที่พบได้ในคนที่มีสุขภาพอารมณ์สมบูรณ์ แต่เมื่อควบคุมไม่ได้มันจะกลายเป็นพลังทำลาย ทำนายไม่ได้ และนำไปสู่ปัญหาต่างๆ เช่นความสัมพันธ์ส่วนบุคคล ปัญหาในที่ทำงาน และคุณภาพชีวิต
สัญญาณของความโกรธ
          หัวใจเต้นแรงและเร็ว หน้าอกกระเพื่อมมากขึ้นเพราะหายใจเร็วขึ้นเหมือนจะหายใจไม่พอ สิ่งที่ตามมาคือกล้ามเนื้อตึงตัวและเกร็งไปทั่วตัว ทำให้ความร้อนมากขึ้น ตัวร้อนขึ้นและเหงื่อออกมากมาย
          ธรรมชาติของความโกรธ เป็นภาวะอารมณ์ที่มีความเข้มข้นแตกต่างกันตั้งแต่โกรธน้อยๆ แค่มีความหงุดหงิด จนถึงรุนแรงมากถึงเถื่อน ตรงกันข้ามในกรณีที่มีนิสัยเก็บกดมากเกินไป ความโกรธที่สะสมอยู่อาจเปลี่ยนเป็นความเศร้า ล้า หมดเรี่ยวแรง และแยกตัวได้ ความโกรธนอกจากจะส่งผลถึงพฤติกรรมแสดงออกแล้วยังส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงทาง ชีวะและสรีระ เช่นหัวใจเต้นแรงและเร็ว รู้สึกใจสั่น ความดันโลหิตสูงขึ้น หน้าแดง กล้ามเนื้อเกร็งถ้าเป็นมากๆอาจจะมีอารมณ์พลุ่งระเบิดคำพูดหรือการกระทำออกมา โดยขาดการควบคุม

  ความโกรธประกอบด้วย 5 ลักษณะใหญ่ๆ
     
Ø
โกรธคนอื่น
      Ø
ถูกคนอื่นโกรธ
      Ø
โกรธตัวเอง
      Ø
ความโกรธที่ค้างจากอดีต ถ้ามีอะไรมาสะกิดก็จะออกมา
      Ø
ความโกรธที่เป็นนามธรรม ที่มาที่ไปอาจจะซับซ้อนจนต้องการผู้เชี่ยวชาญมาช่วยวิเคราะห์

           สาเหตุ : เกิดได้จากทั้งภายในและภายนอกตัว เช่นความห่วงใย กังวล หรือวิตกกังวลกับปัญหาส่วนตัวบางอย่าง หรือการพบกับเหตุการณ์ที่กระตุ้นความทรงจำเก่าๆที่เจ็บปวด รวมทั้งความรู้สึกว่าถูกบีบให้จนมุม หรือไม่ได้รับความยุติธรรม
          การแสดงออก : ใช้กระบวนการทางจิตใจทั้งระดับรู้ตัวและไม่รู้ตัว โดยที่กฎหมาย มาตรฐานสังคม ขนบธรรมเนียมประเพณี และกาลเทศะ เป็นตัวกำหนดว่าเราจะปลดปล่อยความโกรธออกมาได้เท่าใดและอย่างไร การแสดงออกหลักๆของความโกรธได้แก่ ปล่อยออกมาตรงๆ หรือเก็บกดทำเป็นเฉย พฤติกรรมพื้นฐานที่สุดคือก้าวร้าว
การบริหารความโกรธ ทำโดยลดอารมณ์โกรธของตัวเองโดยสร้างความสามารถในการอดทนให้เข้มแข็งขึ้น หรือลดสิ่งเร้าที่ทำให้เกิดอารมณ์โกรธ ถ้าลดไม่ได้ก็เลี่ยงการเผชิญหน้าออกไปชั่วคราว

ทำไมแต่ละคนจึงมีความโกรธไม่เหมือนกัน
            พันธุกรรม เป็นปัจจัยอันหนึ่ง คนที่มีความอดทนต่อความคับข้องใจได้น้อยมักเป็นคนโกรธง่าย การเลียนแบบบุคคลสำคัญหรือผู้ที่ใกล้ชิดก็มีผล ซึ่งปฏิกิริยาของความรู้สึกโกรธจะมากน้อยเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับความสามารถที่ จะปรับตัวและการมีที่ปรึกษาหรือผู้ช่วยดูแลหรือไม่อย่างไรสิ่งแวดล้อมก็มี ความสำคัญ อิทธิพลจากสังคมวัฒนธรรม ค่านิยมของแต่ละสังคมเป็นตัวกำหนดการแสดงออกด้วยเช่นกัน

กลยุทธ์ในการจัดการกับความโกรธ
          เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกว่าอารมณ์โกรธกำลังเพิ่มพลัง ให้นึกถึงความจริงที่ว่าอารมณ์โกรธเป็นเรื่องธรรมชาติและเป็นตัวที่บอกถึง การมีสุขภาพดี การที่ไม่รู้สึกโกรธเลยต่างหากเป็นเรื่องของความไม่ปกติ  ทั้ง นี้เพราะความโกรธเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเจ็บปวดทางกายและอารมณ์ ในช่วงชีวิตของคนเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพบกับความไม่ถูกใจหรือผิดหวังใน สิ่งที่ต้องการ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีอารมณ์โกรธเลย แต่สิ่งที่ควรทำคือการเรียนรู้วิธีที่จะบริหาร ควบคุมหรือระบายความโกรธออกมาอย่างเหมาะสมต่างหาก เทคนิคต่างๆต่อไปนี้สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล วิธีการหนึ่งอาจจะได้ผลในคนคนหนึ่งแต่อาจจะไม่ได้ผลในอีกคนก็ได้เป็นเรื่อง ปกติเพราะคนเรามีจริตต่างกัน 
1.การสร้างความผ่อนคลาย  เมื่อความโกรธทำให้เกิดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ สิ่งที่เป็นตัวแก้ก็คือภาวะที่ตรงกันข้ามนั่นก็คือการคลายตัวของกล้ามเนื้อ ซึ่งทำได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
·       ฝึกการหายใจที่ถูกต้อง การหายใจที่ถูกต้องจะได้ปริมาณออกซิเจนเหมาะสมเพียงพอต่อความผ่อนคลายของ ร่างกาย ทำได้โดยหลับตาลงเบาๆ หายใจเข้าออกลึกๆช้าๆสัก 5-10 นาที เทคนิคคือเมื่อหายใจเข้าช้าๆจนท้องป่องแล้วก็กลั้นไว้สักครู่โดยการนับ 1-5 ตาม จังหวะวินาทีแล้วค่อยๆระบายลมหายใจออกมาช้าๆทางจมูกหรือทางปากก็ได้ตามสะดวก การหายใจที่ถูกต้องจะช่วยการเต้นของหัวใจให้ช้าลงและกล้ามเนื้อคลายตัว ซึ่งร่างกายจะส่งสัญญาณความสบายนี้ไปสมองทำให้อารมณ์เย็นลง
·       การผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วยการยืดหดเบาๆส่วนต่างๆของร่างกายไม่ให้เกิดความตึง เครียดทำได้หลายวิธีเช่นออกกำลังหรือเล่นกีฬาเบาๆ เดินเร็วๆ ทำให้ endorphins ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้สงบและมีความสุขหลั่งออกมา
·       การจินตนาการสั้นๆเรื่องที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจเพื่อได้เปลี่ยนสภาวะจากความเครียดมาให้ได้มีความสุขระยะหนึ่ง

ตัวอย่าง ใช้เวลา 10 นาที ทำต่อไปนี้
            หลับตาสร้างจินตนาการให้ไปอยู่ในสถานที่และเห็นสิ่งที่คุณชอบหรือรู้สึกดีๆด้วย เป็นอะไรที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีจริงก็ได้ ให้มีสมาธิรับรู้แต่สิ่งนั้นเท่านั้น แล้วอยู่กับสิ่งนั้นอย่างสงบ ไม่ต้องฟังเสียงจากที่อื่น ใช้อวัยวะสัมผัสของคุณทุกส่วนรับรู้บรรยากาศทั้งหมดทั้งเสียง กลิ่น ภาพ สัมผัสและรสชาติในสิ่งที่คุณจินตนาการถึงให้ชัดเจนเหมือนกับว่าคุณกำลังอยู่ ที่นั่นจริงๆ เก็บความสุข ความสบายใจ ผ่อนคลายตัวเองให้มากที่สุด จนเมื่อรู้สึกสบายใจ อารมณ์ดีแล้วก็ให้มาสนใจอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายทีละส่วนตั้งแต่หน้าผาก เรื่อยลงมาถึงนิ้วเท้า บอกให้อวัยวะแต่ละส่วนที่กำลังนึกถึงนั้นผ่อนคลายลง เมื่อครบทั่วตัวแล้วให้พูดกับตัวเองว่า ฉันรู้สึกผ่อนคลายทั่วตัว สบายใจ สามารถควบคุมอารมณ์ได้ และพร้อมจะปฏิบัติภารกิจต่างๆได้อย่างมีชีวิตชีวาและเต็มพละกำลัง หลังจากนั้นให้นับถอยหลังช้าๆจาก 6 ลงมาโดยขยับแขนขาเนื้อตัวเบาๆไปด้วยเพื่อให้รู้สึกตัว เตรียมกลับมาสู่ภาวะปกติ เมื่อนับถึง 1 ก็ค่อยๆ ลืมตา แล้วลุกขึ้นช้าๆ
1.      เทคนิคแก้ปัญหาด้วยตนเอง
            บอกตัวเองว่าการต้องแก้ปัญหาให้สำเร็จทุกครั้งไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป เพราะจะเป็นการกดดันตัวเองโดยไม่จำเป็น ควรให้ความสำคัญกับการจัดการและวิธีการเผชิญปัญหาที่เหมาะสมกับกาลเทศะ ถ้าแก้ไม่ได้ก็ไม่ต้องโทษตัวเองถ้าได้ทำดีที่สุดแล้ว หรือลองมองสถานการณ์ที่ทำให้โกรธใหม่ว่ามันเป็นเรื่องที่ใครๆก็พบได้ในขณะ ที่คนอื่นๆเห็นเป็นเรื่องปกติหรือไม่กดดันทำไมคุณถึงรู้สึกรุนแรงกว่าคนอื่น แล้วแก้ปัญหาให้ตรงประเด็น
2.     
สร้างการสื่อสารที่ดี
            ถ้าเริ่มรู้สึกมีอารมณ์โกรธขณะพูดคุยกัน ให้ทำตัวเองช้าลงเพื่อลดระดับอารมณ์ ระมัดระวังคำพูดมากขึ้น ฟังอย่างตั้งใจ และไม่ด่วนสรุป คิดก่อนตอบออกไป ถ้าเห็นว่าบรรยากาศไม่ดีให้พักและใช้เรื่องตลกเบาๆเบรกความตึงเครียด
3.     
สร้างสมดุลอารมณ์
            พยายามบอกตัวเองให้นิ่งก่อนโดยการหายใจเข้าออกช้าๆให้สมาธิไปอยู่ที่ลมหายใจ สักพักหนึ่งค่อยหายใจตามปกติ อย่าใจร้อนหรือใช้คำพูดเสียดสีแบบสะใจ เพราะจะสร้างปัญหาซ้อนขึ้นมา อาจจะใช้อารมณ์ขันเข้าช่วย แต่มีข้อที่ต้องระมัดระวังคือเรื่องของกาลเทศะและอย่าพยายามฝืนหัวเราะเพราะ จะรู้สึกแย่มากขึ้น
4.     
เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม
            ถ้ารู้สึกว่าจะระเบิด ขอเวลานอกแยกตัวออกมาอยู่ตามลำพัง 5 – 10 นาทีเพื่อสงบตัวเอง ควร จะไปนั่งที่อากาศปรอดโปร่ง หรือในห้องที่สบายๆ เปิดเพลงฟังให้ใจเย็นลง จิบน้ำให้สดชื่น หรือเล่นกับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด ถ้าไม่ดีขึ้นอาจจะต้องทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อปลดปล่อยแรงขับภายในออกมาเช่น ขุดดินปลูกต้นไม้ เล่นกีฬาที่ต้องออกแรงเหวี่ยงออกไป
 5.      ยอมรับความจริงและหาตัวเลือกอื่น
            บางครั้งคนเราก็ไม่สามารถไปจากสิ่งเร้าที่ทำให้รู้สึกโกรธได้ด้วยข้อจำกัดส่วน ตัว ดังนั้นควรยอมรับในสิ่งที่แก้ไขไม่ได้แล้วพยามยามปรับตัวอยู่กับสิ่งนั้น อย่างเข้าใจ หรือหาทางเลือกอื่นๆที่มีโอกาสทำได้สำเร็จมากกว่าก็จะได้บางสิ่งบางอย่าง เป็นการชดเชยแทน
6.     
ระวังความคิดอัตโนมัติ
            คนเราเวลาพบกับสิ่งที่ทำให้โกรธมักคิดเข้าข้างตัวเองว่ามันไม่ควรเป็นอย่าง นั้น ไม่ยุติธรรมเลย ความคิดแบบนี้จะกระตุ้นให้โกรธเร็วและแรงขึ้น และตัวเองก็ไม่คิดจะแก้ปัญหาเพราะเห็นว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรม ตัวเองตกเป็นเหยื่อ หรือถูกกระทำ รู้สึกสงสารตัวเอง ผลที่เกิดขึ้นก็คือนอกจากจะไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นแล้วยังเป็นการผลักใสคนที่ อยากช่วยออกไปทางอ้อมอีกด้วย
7.      ขอคำปรึกษาผู้ที่ไว้วางใจหรือผู้เชี่ยวชาญ
            ให้ทำทันทีเมื่อรู้สึกว่าควบคุมตัวเองไม่ได้จนมีผลกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่าง บุคคลและเรื่องสำคัญในชีวิต หรือเมื่อคุณไม่เข้าใจคำพูดที่ว่า “ คนเรามีความผิดหวัง เจ็บปวด และเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอซึ่งเราเปลี่ยนมันไม่ได้ แต่เราก็สามารถเปลี่ยนตัวเองให้แข็งแกร่งพอที่จะต่อกรหรืออยู่กับมันได้ ” 

บทความโดย: รศ.กนกรัตน์ สุขะตุงคะ
ที่ปรึกษาสาขาวิชาจิตวิทยาคลินิก ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

รับรู้รับมือกับความเครียดด้วยปัญญา

                                                                 
ความสัมพันธ์ระหว่างกาย-จิต-สังคม
     ทั้ง 3 ปัจจัยต่างมีความสำคัญเหมือนๆกันและมีความสัมพันธ์ส่งผลซึ่งกันและกันไม่ว่าส่วนไหนจะผิดปกติก่อนก็ตาม ดังภาพประกอบ

ความเครียดคืออะไร
       ความ รู้สึกเมื่อรับรู้ด้วยประสาทรับความรู้สึกทั้งห้ารวมทั้งสัญชาตญาณส่วนตัว เมื่อเผชิญกับบางสิ่งบางอย่างทำให้ รู้สึกไม่สงบ ไม่สบายกายใจ วุ่นวายใจ สับสน กดดัน ไม่พึงพอใจ ทุกข์ใจจนเกิดความแปรปรวนทั้งทางร่างกายและจิตใจ

ลำดับขั้นปฏิกิริยาของความเครียด
1  ความเครียดต่ำๆ  ช่วยให้มีความตื่นตัว การรับรู้เฉียบคม ฉับไว
2  ตึงเครียด  ปวดศีรษะ พลังเริ่มถดถอย 
      3 สมาธิลดลง  หงุดหงิด โกรธ  มีความรู้สึกต่อต้าน
4 ตัวสั่น ใจเต้นแรงและเร็ว มือเย็น เหงื่อออกชุ่ม มีอาการคล้ายจะเป็นลม
5 เหนื่อยล้าทั้งกายและใจ หมดความอดทน รู้สึกไร้ค่า ไร้ความสามารถ ขมขื่น มีปัญหาสุขภาพได้จากทุกระบบของร่างกาย ระดับนี้ต้องได้รับการรักษา
        ความ เครียดระดับต้นเป็นสิ่งที่ดีทำให้คนเราไม่เฉื่อยชา และเป็นแรงขับให้มีกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน แต่ถ้ามีมากขึ้นก็จะให้ผลตรงกันข้าม ยิ่งมีความเครียดมากก็จะทำให้มีปัญหาทางกายและสังคมมากขึ้นด้วย

ความเครียด-สัญญาณอันตราย
        อาการ ต่อไปนี้ดูผิวเผินดูเหมือนเป็นโรคทางกาย แต่ถ้าตรวจตามอาการทุกระบบแล้วไม่พบสาเหตุ น่าจะเป็นกลไกทางจิตใจส่งสัญญาณร้องขอความช่วยเหลือ จึงให้สันนิษฐานถึงความเครียดที่ไปลดภูมิต้านทานของร่างกาย รีบสำรวจตัวเองและขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

มีลักษณะเหล่านี้จนรบกวนชีวิตประจำวันหรือไม่
- ปวดศีรษะบ่อยๆไม่ทราบสาเหตุ
- หลับยาก หลับไม่สนิท ฝันร้าย
- เหนื่อยง่ายกว่าปกติ
- กินมากหรือน้อยกว่าปกติ
- ท้องผูก หรือ ท้องเสียบ่อยๆ
- รู้สึกตื่นเต้นตกใจง่าย

จะรู้ได้อย่างไรว่าตกอยู่ในความเครียดระดับที่มีผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน

สังเกตจากร่างกาย เจ็บป่วยบ่อย ป่วยง่าย อาจจะเล็กๆน้อยหรือรุนแรงก็ได้
อารมณ์ ขี้ใจน้อยกว่าปกติ หงุดหงิด กระวนกระวาย วิตกกังวล กลัว โกรธง่าย รู้สึกผิด เบื่อ เหงา เศร้า
สังคม ไม่อยากพบเจอหน้าใครแม้แต่คนที่คุ้นเคย ไม่สนใจสิ่งที่เคยชอบ มีปัญหาความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
สติปัญญา สมาธิ ความจำ การแก้ปัญหาแย่ลง การตัดสินใจเสีย อาจใช้สารเสพติด เหล้า บุหรี่ เพื่อลดความทุกข์หรือความกระวนกระวายที่เกิดขึ้น 

ความเครียดกับโรคทางกาย ความ เครียดเป็นต้นเหตุให้เกิด หรือทำให้โรคที่มีอยู่เดิมเป็นมากขึ้น ความเครียดเรื้อรังเป็นอันตรายในโรคความดันโลหิตสูง หัวใจ เส้นเลือดสมองแตก และซึมเศร้า ตัวอย่างโรคในระบบต่างๆที่สัมพันธ์กับความเครียด

      ระบบหายใจ หอบหืด หลอดลมอักเสบ การหายใจผิดปกติ เจ็บหน้าอก
      ระบบต่อมไร้ท่อ ปัญหาการหลั่งอินซูลินหรือฮอร์โมนต่างๆ เบาหวาน ผมร่วง เป็นสิว
      ระบบเนื้อเยื่อ กระดูก ข้อ กระดูกเปราะ ข้อเสื่อม เจ็บปวดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ
      ระบบสืบพันธุ์ ประจำเดือนผิดปกติ สมรรถภาพทางเพศเสื่อม
      ระบบภูมิคุ้มกัน เจ็บป่วยง่าย ร่างกายอ่อนแอ ติดเชื้อง่าย

กลับมาสู่ธรรมชาติ
      ธรรมชาติ หรือความปกติคืออะไร คำตอบก็คือการไม่คงอยู่ตลอดไป การหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่เกิดขึ้น ฉะนั้นก็ไม่แปลกที่ชั่วชีวิตของคนเรามีโอกาสจะพบทั้งเรื่องดีเรื่องร้าย เมื่อเรายินดีรับสิ่งที่เป็นด้านบวกว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ ทำไมเราจะรับด้านลบด้วยไม่ได้ เมื่อใจเปิด สติและปัญญาก็มา

รับรู้อย่างไรให้ใจเป็นสุข
        ความ เครียดเกิดจากความขัดแย้งใจระหว่างสิ่งที่รู้สึกจริงๆกับสิ่งที่คิดว่าเรา ควรรู้สึก ดังนั้นควรรับรู้อย่างที่มันเป็นหรือเกิดขึ้นจริงๆ ไม่ใช่ใช้ตัวเองเป็นหลักว่า มันควรจะ  น่าจะ หรือ ต้องเป็น อย่างที่เราปรารถนา เพราะถ้ายึดเอาความต้องการเราเป็นที่ตั้ง เมื่ออะไรไม่เป็นอย่างที่คิดสิ่งที่ตามมาก็คือ ทุกขโศก โรค ภัย  ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา Hans Selye กล่าวว่า ความเครียดเป็นรสชาติแห่งชีวิต ไม่ใช่ความเครียดหรอกที่ฆ่าเรา แต่ปฏิกิริยาของตัวเราที่มีต่อมันต่างหากที่ทำร้ายตัวเราเอง

กลยุทธ์ที่ทำให้เราสามารถป้องกันความเครียดได้
- พูดหรือระบายออกมากับคนคุ้นเคยหรือผู้เชี่ยวชาญ แทนที่จะเก็บกดหรือกลัวว่าคนอื่นจะมองว่าเป็นคนไม่ดีถ้าบอกให้รู้ว่าเราไม่ ชอบหรือไม่พอใจ
- ต้องเลือกว่าจำเป็นไหมที่จะต้องหน้าชื่นอกตรม มีใครบ้างในโลกนี้ที่สมบูรณ์แบบหรือไม่เคยมีปัญหา ควรเรียนรู้ที่จะปฏิเสธ คนที่จะมีสุขภาพจิตดีคือคนที่สามารถรักษาสิทธิ์ของตัวเองได้ในขณะที่ไม่ ละเมิดสิทธิของคนอื่น
- หนีจากเรื่องที่เครียดนั้น ๆ ไปชั่วคราว เช่น หาที่สงบเป็นส่วนตัวแล้วใช้จินตนาการเพื่อความผ่อนคลาย คิดถึงสิ่งที่ทำให้มีความสุขและให้รู้สึกถึงภาวะผ่อนคลายนั้นจริงๆ เมื่อรู้สึกได้แล้วจำเรื่องหรือสิ่งนั้นไว้เป็นคาถาประจำตัว เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกเครียดก็ให้นึกถึงบรรยากาศนั้น จะเป็นทางลัดทำให้เกิดความรู้สึกดีๆและผ่อนคลายได้ทันที ทั้งนี้เพราะการออกไปจากสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์นั้นก็เพื่อตั้งหลักให้ แข็งแรงขึ้น ก่อนที่จะกลับมาเผชิญและแก้ไขปัญหา ดีกว่าการประจันหน้าทั้งๆที่ไม่พร้อม
- ฝึกทักษะการแก้ปัญหา เช่น ลองจัดลำดับความสำคัญหรือความเร่งด่วนของสิ่งที่จะต้องทำก่อนแล้วทำไปทีละ อย่างตามความเหมาะสม น่าจะช่วยให้ไม่เครียดหรือลนลาน และได้ผลดีกว่า

วิธีจัดการความเครียดด้วยการปรับความคิดด้วยปัญญา
- ฟังเสียงจากภายในตัวเองอย่างซื่อสัตย์เพราะเป็นสัญญาณบอกว่าเรากำลังรู้สึกอย่างไร
- ทบทวนหาสาเหตุที่แท้จริงของความเครียดนั้นๆ โดยทำตัวสบายๆ  เดินสายกลาง รู้จักยืดหยุ่น
- ยอมรับสภาพความเป็นจริงของชีวิตในปัจจุบัน พร้อมและเต็มใจที่จะแก้ไขและพัฒนาตัวเอง
- บอกตัวเองว่าแม้จะแก้ไม่ได้ดังใจก็ไม่เป็นไร แต่ก็ไม่ท้อ เรื่องบางเรื่องต้องการเวลาและโอกาสที่ยังไม่มีในขณะนี้ วันหนึ่งโอกาสก็จะหมุนมาหา
- ช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่ทำได้ จะทำให้เกิดความภาคภูมิใจ รู้สึกว่ายังมีคุณค่า
- เปลี่ยนแปลงสภาพรอบๆตัวให้ดูดีขึ้นเช่น จัดตกแต่งบ้านหรือสวนให้สวยงามแปลกตาน่าดู
- ถามตัวเองว่าถ้าไม่ทำเพื่อตัวเองแล้ว จะรอใครมาทำให้  และถ้าไม่ลงมือเดี๋ยวนี้ จะเริ่มเมื่อไหร่   

สรุป
การเครียดแก้ให้เกิดเป็นความสุขได้  โดยการปรับเปลี่ยนความคิดแบบเดิมที่เคยให้ความหมายต่อคนหรือเหตุการณ์ที่ประสบไปในทางร้ายจนเป็นเหตุทำให้ตัวเองเกิดความเครียด  มา เป็นการรับรู้เท่าที่มันเป็นหรือเกิดขึ้นจริงๆขณะนั้น เพื่อที่จะมองเห็นเหตุและความรุนแรงตามความเป็นจริง ไม่ใช่ตามจินตนาการที่อาจจะสร้างเรื่องราวใหญ่โตเกินเลย  เมื่อ รับรู้และประมาณสถานการณ์ตามที่มันเป็นจริงได้อย่างนี้ ก็จะทำให้มีโอกาสพบกับทางเลือกหรือช่องทางออกที่สามารถแก้ไขและปรับตัวได้ อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น

บทความโดย:  รศ. กนกรัตน์ สุขะตุงคะ
ภาควิชาจิตเวชศาสตร์   คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

บทความสุขภาพที่เีกี่ยวข้อง