อันตรายจากการฉีดสารแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย

ในปัจจุบันจะพบว่าคนหนุ่มสาวในวัยทำงานมีความสนใจในส่วนต่างๆ ของร่างกายมากขึ้น  ทั้งผิวพรรณใบหน้ารูปร่าง    มีการผ่าตัดเพื่อเสริมเติมแต่งส่วนที่ขาดส่วนที่บกพร่องให้ดูดียิ่งขึ้น  และมีการแก้ไขส่วนที่ไม่พึงพอใจในร่างกายด้วยการฉีดเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาด เพื่อแก้ไขริ้วรอย   โดยสารที่ฉีดที่ได้มาตรฐานจะไม่มีปฏิกิริยาต่อร่างกาย  ไม่แพ้  ไม่เป็นสารก่อมะเร็ง  สาร เหล่านี้ต้องฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ได้รับการฝึกฝนมาโดยเฉพาะ และจะต้องฉีดด้วยความระมัดระวังเนื่องจากอาจจะมีผลข้างเคียงจากการฉีดเกิด ขึ้นได้  และยังมีสารอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่สมควรที่จะฉีดเข้าสู่ร่างกายเนื่องจากมีผลเสียที่จะเกิดขึ้นตามมามากมาย  แต่ก็มีการนำมีฉีดโดยบุคคลที่แอบอ้างว่าเป็นแพทย์   ในที่นี้จะกล่าวถึงสารกลุ่มที่สามารถฉีดเข้าสู่ร่างกายก่อนและในตอนท้ายจะกล่าวถึงกลุ่มที่ไม่ควรฉีดเข้าสู่ร่างกาย  

กลุ่มที่สามารถฉีดเข้าสู่ร่างกายได้มีดังนี้

            1. ฉีดเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาด  เช่นแก้มตอบ มีร่องแก้ม เบ้าตาโบ๋ลึก เป็นต้น   การ ฉีดเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดนั้นสามารถใช้ไขมันของร่างกายตัวเองโดยแพทย์จะ ดูดไขมันจากหน้าท้อง จากสะโพกหรือต้นขาในจำนวนที่เหมาะสม แล้วนำมาฉีดเข้าไปในตำแหน่งที่ต้องการแก้ไขก็จะสามารถทำให้แก้มที่ตอบดูเต็ม ขึ้น ร่องแก้มตื้นขึ้น ส่วนบริเวณเบ้าตาคงจะต้องฉีดด้วยความระมัดระวัง ข้อดีของการใช้ไขมันของตัวเองนั้นไขมันจะอยู่ในร่างกายอย่างถาวรแต่อาจจะถูก ดูดซึมไปบ้างหลังฉีด  ข้อเสียคือต้องมีขั้นตอนของการดูดไขมันเพิ่มขึ้น 

2. ฉีดเพื่อลดรอยร่องลึกบนใบหน้า เช่นรอยร่องบริเวณหัวคิ้ว ร่องแก้ม ร่องรอบริมฝีปาก แผลเป็นที่เป็นหลุมลึก  และยังใช้ฉีดใช้ริมฝีปากให้อูมอิ่มขึ้นอีกด้วย ที่นิยมใช้ในปัจจุบันเป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นคือ  ไฮยารูโลนิกแอซิดที่เรียกสั้นๆ ว่า เอชเอ โดยทั่วไปเป็นสารที่เป็นส่วนประกอบพื้นฐานของผิวหนัง น้ำในข้อ ของเหลวในดวงตาอยู่แล้ว   ข้อดีคือโอกาสแพ้สารชนิดนี้น้อยมาก ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก  และไม่ต้องทดสอบก่อนฉีด  แต่ข้อเสียคือฉีดแล้วอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน รอยร่องต่างๆ ก็จะกลับเป็นขึ้นเหมือนก่อนฉีด และราคาค่อนข้างแพง  อีกชนิดหนึ่งที่เคยเป็นที่นิยมคือ คอลลาเจน  แต่ปัจจุบันใช้ลดน้อยลงคุณสมบัติโดยทั่วไปคล้ายๆ กับเอชเอ แต่ก่อนใช้ต้องทดสอบก่อนว่าแพ้หรือไม่ 
    
            3.ฉีดเพื่อลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์บนใบหน้าเช่นรอยตีนกา รอยย่นบนหน้าผาก และรอยย่นระหว่างคิ้วที่เกิดจากการขมวดคิ้ว ร่องรอยเหล่านี้สามารถใช้สารที่สกัดจากแบคทีเรียที่เรียกว่าโบทูลินั่มทอกซิ น โดยที่สารชนิดนี้สามารถยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ  จะเห็นว่าถ้าต้องการให้กล้ามเนื้อในตำแหน่งใดหยุดทำงานก็เพียงฉีดสารชนิดนี้เข้าไปที่กล้ามเนื้อนั้นๆ   เช่น ต้องการให้รอยตีนกาหายไปก็จะฉีดเข้าบริเวณดังกล่าว หลังจากฉีดแล้ว 1-2 วันรอยตีนกาก็จะลดน้อยลงเนื่องจากกล้ามเนื้อไม่สามารถทำงานได้  แต่ ก็เป็นการหยุดทำงานชั่วคราวเท่านั้น หลังจากนั้น 4-6 เดือนเมื่อหมดฤทธิ์ของสารสกัดดังกล่าวรอยตีนกาก็จะกลับมาเหมือนเดิม ถ้าต้องการให้ริ้วรอยหายไปอีกก็ต้องฉีดซ้ำ  ข้อเสียคือริ้วรอยหายชั่วคราวไม่ถาวร  สิ้นเปลือง  และ หากขาดความชำนาญในการฉีดสารสกัดดังกล่าวอาจจะไหลไปในตำแหน่งไม่พึงประสงค์ก็ จะทำให้มีผลต่อกล้ามเนื้ออื่นๆใกล้เคียง เช่นไหลเข้าที่เปลือกตาบนทำให้หนังตาตก  ไหลเข้ากล้ามเนื้อตาทำให้ตาเข  แต่อาการแทรกซ้อนเหล่านี้สามารถหายได้หลัง 4-6 เดือนเมื่อหมดฤทธิ์ยา

            4.ฉีดเพื่อลดขนาด เช่นกรามใหญ่ น่องโต ปกติแล้วภาวะดังกล่าวสามารถแก้ไขได้โดยการผ่าตัด  แต่ปัจจุบันยังมีการใช้โบทูลินั่มทอกซินในการลดขนาดของกล้ามเนื้อ  กรามที่ใหญ่กางออกการฉีดกล้ามเนื้อที่บริเวณมุมกรามจะทำให้กล้ามเนื้อลดขนาดลงกรามจะดูเรียวขึ้น  กล้ามเนื้อน่องก็เช่นกันสามารถฉีดแล้วทำให้น่องเล็กลงได้  แต่ข้อเสียคือราคาค่อนข้างแพง หลังฉีดกรามอาจทำให้เคี้ยวอาหารที่แข็งลำบากขึ้น  ต้องฉีดทุกๆ 4-6 เดือนและหลายครั้ง เมื่อหยุดฉีดแล้วระยะเวลาหนึ่งกล้ามเนื้อดังกล่าวอาจกลับมาโตเหมือนเดิม

            กลุ่มที่ไม่ควรฉีดเข้าสู่ร่างกาย

สารสังเคราะห์กลุ่มนี้เป็นสารที่ไม่ได้มาตรฐาน ได้แก่ซิลิโคนเหลว พาราฟิน น้ำมันมะกอก เป็นต้น สารเหล่านี้ไม่ควรฉีดเข้าสู่ร่างกายเนื่องจากพบว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับ ประชาชนมานานนับสิบปี   นอกจากบุคคลทั่วไปแล้วยังมีนักแสดงนักร้องมีปัญหาจากการฉีด  สื่อต่างๆ ทั้งวิทยุโทรทัศน์ได้นำเสนอถึงอันตรายที่เกิดขึ้น ทางสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทยก็ได้ประชาสัมพันธ์ถึงผลเสียต่างๆ  แต่ปัญหาก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ตาม กฎหมายนั้นบุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่แพทย์ไม่สามารถฉีดสารใดก็ตามเข้าสู่ร่างกาย ผู้อื่น และการทำการรักษาพยาบาลต้องทำในสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณ สุขเท่านั้น  โดยจะมีบุคคลที่อ้างตัวเป็นแพทย์นำสารดังกล่าวโดยเฉพาะซิลิโคนเหลว   หลอกประชาชนว่าเป็นไขมันเทียมบ้าง คอลลาเจนบ้าง ฉีดเพื่อให้จมูกโด่งขึ้น  คางยาวขึ้น  แก้มอูมขึ้น  ฉีดหน้าอก สะโพก ตามแต่อยากจะให้ส่วนใดอูมใหญ่ขึ้น    โดยที่ซิลิโคนเหลวมีราคาถูกและอยู่ถาวร แต่มีภาวะแทรกซ้อนมากมายตั้งแต่อักเสบเป็นๆ หายๆ   ไหลย้อยไปสู่ตำแหน่งอื่น บริเวณที่ฉีดดูอูมบวมแข็งเป็นไต  ทำให้หน้าตาดูประหลาดผิดธรรมชาติ   เมื่อมีปัญหาคนไข้ก็จะมาพบแพทย์เพื่อให้แก้ไข  บาง คนเข้าใจผิดนึกว่าสามารถดูดออกได้ ความจริงแล้วสารดังกล่าวไม่สามารถดูดออกได้และการผ่าตัดยังไม่สามารถเอาส่วน ที่ฉีดออกมาได้หมดเลยอีกทั้งยังต้องตัดเอาเนื้อเยื่อที่ดีของคนไข้ที่มีสาร แปลกปลอมแทรกอยู่ออกมาอีกด้วย  เช่นหากสารเหล่านี้อยู่บริเวณแก้มบริเวณขมับที่มีเส้นประสาทอยู่  การผ่าตัดอาจทำอันตรายต่อเส้นประสาททำให้ปากเบี้ยว  ยักคิ้วไม่ขึ้น  มีบางคนได้รับการฉีดเพื่อให้หน้าอกโตขึ้นผลคือหน้าอกแข็งเป็นก้อน  บางรายแตกเป็นแผลเรื้อรัง เป็นที่น่าเสียดายที่ทำให้การผ่าตัดรักษาต้องตัดเนื้อหน้าอกทิ้ง  และยังทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนหน้าอกอีก 
  
นอกจากนั้นยังมีความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ชายที่นำพาราฟินเหลว  น้ำมันมะกอก  มาฉีดเข้าบริเวณอวัยวะเพศเพื่อเพิ่มขนาด  หาก มีความรู้และมีสติคงจะไม่ทำการกระทำดังกล่าวเนื่องจากว่าสารดังกล่าวเป็นสาร แปลกปลอมที่ร่างกายจะมีปฏิกิริยาต่อต้านไม่รับสารเหล่านั้นอย่างแน่นอน  หากฉีดสารดังกล่าวเข้าจะมีการอักเสบแข็งเป็นไต เจ็บปวด แตกเป็นแผลเรื้อรังในอนาคต  และสุดท้ายแล้วอวัยวะส่วนนี้ของร่างการจะไม่สามารถทำงานได้ปกติ  ต้องมาพบศัลยแพทย์ให้ผ่าตัดรักษา        ซึ่งแม้จะผ่าตัดรักษาให้แล้วรูปร่างและการทำงานก็ไม่สามารถกลับเป็นปกติเหมือนเดิม

จะเห็นได้ว่าสารสังเคราะห์ที่จะฉีดเข้าสู่ร่างกายนั้นมีทั้งที่สามารถฉีดเข้า สู่ร่างกายได้ และไม่สมควรฉีดเข้าสู่ร่างกาย ได้ทราบถึงข้อดีข้อเสียของสารแต่ละชนิด  ดังนั้นหากคิดจะฉีดเพื่อแก้ไขส่วนใดก็ตามทางที่ดีที่สุดควรจะปรึกษาแพทย์  และ ต้องฉีดด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นถึงจะปลอดภัย ไม่ควรไปรับการฉีดจากบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ในสถานที่ที่ไม่ใช่คลินิกหรือโรง พยาบาล เพราะอาจจะทำให้เกิดข้อภาวะแทรกซ้อนที่ไม่สามารถแก้ไขได้ซึ่งจะมีผลโดยตรง ต่อร่างกายและจิตใจ  


บทความโดย: อ.นพ.ธารา วงศ์วิริยางกูร  สาขาวิชาศัลยศาสตร์ตกแต่ง
ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

0 ความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น

บทความสุขภาพที่เีกี่ยวข้อง