ความจริงกับอาการนอนกรนของคน


ความจริงกับอาการนอนกรนของคน

  1. อาการนอนกรน เป็นปัญหาของการนอนหลับ ที่พบบ่อยในคนอายุ 30-35 ปี ซึ่งมักจะเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วน ผนังคอหนา เนื้อเยื่อในช่องคอ หย่อนตัวขณะนอนหลับ

2. ประมาณร้อยละ 20 เป็นเพศชาย และร้อยละ 5 เป็นเพศหญิง และอาการ นอนกรนจะเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น

3. เสียงกรนเกิดจากการที่อากาศเคลื่อนผ่านทางเดินหายใจที่แคบ ซึ่งมักเกิดจากการผ่อนคลายหรือหย่อนตัวของกล้ามเนื้อทางเดินหายใจส่วนบนขณะนอนหลับ เช่น กล้ามเนื้อบริเวณเพดานอ่อน ลิ้นไก่ ผนังคอหอย หรือโคนลิ้น ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนและสะบัดของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่ออ่อนในบริเวณนั้นเกิดเป็นเสียงกรนขึ้น

4. การอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนจากต่อมทอนซิลและต่อมอดีนอยด์ที่โต ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการนอนกรนที่สำคัญในเด็กหรือเนื้องอกหรือซีสต์ (Cyst)   ในทางเดินหายใจส่วนบนหรือการที่มีโพรงจมูกอุดตันจากหลายสาเหตุ เช่น อาการคัดจมูกจากโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ผนังกั้นช่องจมูกคด เนื้องอกในโพรงจมูกและ/หรือโพรงอากาศข้างจมูก ริดสีดวงจมูก ไซนัสอักเสบ ก็เป็นสาเหตุที่ให้เกิดอาการนอนกรนได้เช่นกัน


กินอย่างไร...ป้องกันกรดไหลย้อน

แสบลิ้นปี่จังเลย ! อาการนี้เป็นกันมากขึ้นเรื่อย  ในหมู่คนทำงาน คำถามที่ตามมา คือ ฉันเป็นอะไรไปนะ ? 

นี่แหละ เขาเรียกว่า อาการกรดไหลย้อน? ศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพ ให้ข้อมูลว่า กรดไหลย้อนเกิดจากเอนไซม์และกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนผ่านหูรูดส่วนล่างของหลอดอาหาร ซึ่งกล้ามเนื้อส่วนนี้จะทำงานโดยการบีบตัวหรือคลายตัว ป้องกันไม่ให้เกิดการ ไหลย้อน 

หากว่ามันคลายตัวผิดเวลาก็จะทำให้สิ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหารไหลย้อน ออกมา นั่นจะทำให้ผนังหลอดเลือดอักเสบ เป็นแผล และถ้าปล่อยทิ้งไว้ นาน  จะทำให้มีอาการระคายเคืองจากกระเพาะอาหารสู่ลำคอ รู้สึกเปรี้ยวในลำคอและขมในปาก นอกจากนี้สิ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหารจะถูกดันขึ้นสู่หลอดอาหารและหลอดลม อาจทำให้เกิดหอบหืด ไอเรื้อรัง ไซนัส ปอดบวม แน่นหน้าอก เสียงแหบ และหายใจขัด จะอันตรายอย่างยิ่ง ถ้ากรดทำลายเนื้อเยื่อส่วนของหูรูดและผนังของหลอดเลือดอาหารอย่างถาวร เพราะมันนำไปสู่โรคมะเร็งได้ 

สาเหตุของการเกิดกรดไหลย้อนมาจากหลายอย่าง เช่น โรคอ้วน ตั้งครรภ์ วัยหมดประจำเดือน สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ กินอาหารมื้อใหญ่และ บ่อยเกินไป เอนหลังนอนหลังอาหาร เป็นต้น 

และอาหารบางชนิดทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้ ได้แก่ 
- อาหารทอด อาหารไขมันสูง น้ำมัน 
- เปปเปอร์มินต์ สเปียร์มินต์ นมไขมันเต็ม ช็อกโกแลต อาหารประเภทครีม อาหารฟาสต์ฟู้ด 
- อาหารที่มีเครื่องเทศมากและรสจัด 

รวมทั้งพวกที่ก่อให้เกิดความระคายเคืองกับ หลอดอาหารส่วนล่างที่เกิดการอักเสบ เช่น ส้มและน้ำส้ม สับปะรด มะเขือเทศ ชา-กาแฟทุกชนิด และน้ำอัดลม   

ส่วนการป้องกันอย่างอื่น เช่น ลดน้ำหนักไม่ให้อ้วน กินอาหารก่อนนอน 3 ชั่วโมงขึ้นไป 
การนอนก็เกี่ยวข้อง หากนอนดึกเกินไป นอน ไม่พอ หรือนอนมากเกินไป ก็เกิดกรดไหลย้อนได้ 
รวมทั้งไม่ใส่เสื้อผ้าคับรัดเอวมากเกินไป  เช่นเดียวกับควรหยุดบุหรี่ หรือยาสูบทุกชนิด เพราะนิโคตินทำให้กล้ามเนื้อหลอดอาหารส่วนล่างอ่อนแอ  ถ้าไม่อยากจะทนทุกข์กับกรดไหลย้อน ก็ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจกับเรื่องกิน  ให้มากขึ้น

มาทำความรู้จักกับการปลูกถ่ายอวัยวะ

การปลูกถ่ายอวัยวะคืออะไร


การปลูกถ่ายอวัยวะเป็นความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่สำคัญมากในปัจจุบันและทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากสามารถมีชีวิตอยู่ได้ต่อไปอย่างปกติสุข การปลูกถ่ายอวัยวะที่ทำในอดีตนั้นมักได้ผลไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากมีปัญหาหลายประการ แต่ในปัจจุบันได้มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในแทบทุกแขนงที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมาก ทำให้สามารถปลูกถ่ายอวัยวะได้สำเร็จมากขึ้นจนเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย
 
โรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดพยาธิสภาพในอวัยวะต่างๆ จนอาจถึงกับทำให้อวัยวะนั้นๆ ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติหรืออาจจะไม่ทำงานเลย ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย เช่น มีของเสียคั่งหรือร่างกายขาดสารสำคัญต่อการดำรงชีพ หรือเสียการทำงาของอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจและปอด เป็นต้น ถ้าภาวะดังกล่าวเป็นไม่มากนักแพทย์อาจให้การรักษาโดยการช่วยเสริมการทำงานของอวัยวะนั้น เช่น ใช้เครื่องไตเทียมในการช่วยขับของเสียในร่างกายของผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังหรือให้ยากระตุ้นให้หัวใจของผู้ป่วยบีบตัวได้ดีขึ้น หรืออาจรักษาโดยการให้สารทดแทนส่วนที่ขาดไปเมื่ออวัยวะนั้นไม่ทำงาน เช่น การให้เม็ดเลือดแดงในผู้ป่วยโรคไขกระดูกที่ไม่สามารถผลิตเม็ดเลือดแดงได้ เป็นต้น อย่างไรก็ตามการรักษาด้วยวิธีการดังกล่าวนั้นมักได้ผลไม่ดีนัก และจำเป็นต้องรักษาตลอดไปเป็นเวลานาน ดังนั้นการรักษาที่น่าจะได้ผลดีที่สุดคือ การเปลี่ยนเอาอวัยวะที่ทำงานได้ไม่ดีออกไป แล้วนำอวัยวะใหม่ที่ทำงานเป็นปกติที่ใส่เข้าไปแทนที่ ซึ่งเรียกว่า การปลูกถ่ายอวัยวะ
 
ในทางทฤษฎีนั้น แพทย์สามารถปลูกถ่ายอวัยวะแทบทุกส่วนของร่างกาย แต่การปลูกถ่ายอวัยวะบางอย่างยังทำได้ยากและได้ผลไม่ดีนัก การปลูกถ่ายอวัยวะที่สามารถทำได้ผลดีในปัจจุบันและนิยมกระทำกันอย่างแพร่หลาย คือ การปลูกถ่ายไต ตับ ไขกระดูก หัวใจ ปอด หัวใจและปอด ลำไส้ และตับอ่อน เป็นต้น

การปลูกถ่ายอวัยวะในอดีตมีปัญหาสำคัญมาก ๒ ประการ คือ

๑. ปัญหาการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ ส่วนใหญ่จำเป็นต้องทำการผ่าตัดเอาอวัยวะที่เสียออกไป แล้วนำเอาอวัยวะที่ดีใส่เข้ามาแทนที่ การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะนี้เป็นการผ่าตัดใหญ่ กระทำได้ยากและจำเป็นต้องกระทำโดยศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญสูง อวัยวะที่จะนำไปปลูกถ่ายนี้ อาจได้จากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ถ้าอวัยวะนั้นมีมากกว่า ๑ ข้าง เช่น ไต แต่อวัยวะใหม่ส่วนใหญ่นี้ มักได้จากผู้ที่เพิ่งเสียชีวิต หรือผู้ป่วยที่สมองตาย การผ่าตัดนี้ต้องทำอย่างรวดเร็ว เนื่องจากไม่สามารถจะเก็บรักษาอวัยวะที่ได้มานี้ไว้นอกร่างกายได้นาน นอกจากนี้มีผู้ป่วยที่รอการปลูกถ่ายอวัยวะมากกว่าจำนวนอวัยวะที่จะนำมาปลูกถ่าย ทำให้ผู้ป่วยแต่ละรายต้องรอรับการรักษาเป็นเวลานาน ผู้ป่วยจำนวนมากต้องเสียชีวิตก่อนได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ

ในปัจจุบันมีความก้าวหน้าในการผ่าตัดและในการเก็บรักษาอวัยวะได้นานขึ้น ทำให้การผ่าตัดทำได้สะดวกขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถนำเอาอวัยวะแต่ละส่วน จากผู้บริจาคอวัยวะที่เสียชีวิตหนึ่งรายไปให้ผู้ป่วยที่รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะหลายรายได้
๒. ปัญหาการที่ผู้ได้รับอวัยวะต่อต้านอวัยวะที่ให้เข้าไปใหม่ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ทำหน้าที่ ป้องกันร่างกายจากสิ่งแปลกปลอมต่างๆ โดยเฉพาะต่อเชื้อจุลชีพต่างๆ เช่น เชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส รวมทั้งเซลล์แปลกปลอมอื่นๆ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายนั้นจะไม่ถือว่าอวัยวะของตนเองเป็นสิ่งแปลกปลอม แต่ถือว่าอวัยวะใหม่ที่ได้มาจากผู้อื่นนี้เป็นสิ่งแปลกปลอม จึงทำการต่อต้านและไม่ยอมรับอวัยวะนี้ ทำให้เกิดการทำลายและการอักเสบของอวัยวะใหม่ จนไม่สามารถทำงานได้เกิดอันตรายต่อตัวผู้ได้รับอวัยวะเองด้วย(graft rejection) นอกจากนี้ อาจมีเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันของผู้ให้อวัยวะใหม่ที่ใส่เข้าไป อาจจะถือว่าอวัยวะของร่างกายผู้รับเป็นสิ่งแปลกปลอมเช่นกัน และทำให้เกิดการพยาธิสภาพต่ออวัยวะต่างๆ ของผู้รับ(graft versus host disease)

การเข้ากันไม่ได้ระหว่างผู้รับอวัยวะกับอวัยวะใหม่ เกิดเนื่องจากการที่ผู้ได้รับอวัยวะมีสารโปรตีนบนผิวเซลล์ที่เรียกว่า แอนติเจน เอช แอล เอ(HLA antigen) แตกต่างจากผู้ให้อวัยวะแอนติเจนนี้ เป็นลักษณะจำเพาะของคนแต่ละคนและแตกต่างจากคนอื่น ถ้ามีความแตกต่างของแอนติเจนนี้มากก็จะเกิดการต่อต้านมาก ถ้าผู้ให้และผู้รับอวัยวะมีแอนติเจนนี้คล้ายคลึงกันก็จะมีการต่อต้านน้อย การต่อต้านอวัยวะใหม่นี้เป็นปัญหาสำคัญที่สุดที่ทำให้การปลูกถ่ายอวัยวะไม่ได้ผล

ดังนั้นเพื่อให้สามารถปลูกถ่ายอวัยวะได้ผลดีที่สุด จึงจำเป็นต้องตรวจก่อนทำการปลูกถ่ายอวัยวะว่าผู้ให้และผู้รับมีความเข้ากันได้ คือ มีแอนติเจน เอช แอล เอ เหมือนกัน อย่างไรก็ตามมีโอกาสน้อยมากที่ผู้ให้และผู้รับจะมีแอนติเจน เอช แอล เอ เหมือนกันทุกประการ จึงจำเป็นต้องเลือกผู้ที่มีแอนติเจนคล้ายคลึงกันมากที่สุด

10 เทคนิค จัดการอารมณ์ที่ไม่ดี



1. มองโลกในแง่ดี  

เมื่อเรามีความคิดที่ทำให้ซึมเศร้า เช่น "ฉันทำวิชาเลขไม่ได้" ให้คิดใหม่ว่า "ถ้าฉันได้รับความช่วยเหลือที่ถูกต้องฉันก็จะทำได้" แล้วไปหาครู ครูพิเศษ หรือให้เพื่อนช่วยติวให้
 

2. หาสมุดบันทึกสักเล่มไว้เขียนก่อนเข้านอนทุกวัน 

ในสมุดบันทึกเล่มนี้ ห้ามเขียนเรื่องไม่ดี จงเขียนแต่เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ตอนแรกอาจจะยากหน่อย แต่ให้เขียนเรื่องอย่างเช่น มีคนแปลกหน้ายิ้มให้ ถ้าได้ลองตั้งใจทำ มันจะเปลี่ยนความคิดให้เรามองหาแต่เรื่องดีๆ จากการศึกษาพบว่า คนที่คิดฆ่าตัวตายมีอาการดีขึ้นหลังจากเริ่มเขียนบันทึกเรื่องดีๆ ได้เพียงสองสัปดาห์

              
3. ใช้เวลาอยู่กับคนที่ทำให้เธอหัวเราะได้

           
4. ใส่ใจกับความรู้สึกของตนเองในเวลาแต่ละช่วงวัน


การตระหนักรู้ถึงอารมณ์ของตัวเองจะทำให้เราจับคู่งานที่เราต้องทำกับระดับ พลังงานในตัวได้อย่างเหมาะสม เช่น ถ้าเรารู้สึกดีที่สุดตอนเช้าแสดงว่าตอนเช้าคือเวลาจัดการกับงานเครียดๆ เช่น ไปเจอเพื่อนที่ทำร้ายจิตใจเรา หรือคุยกับครูที่เราคิดว่าให้เกรดเราผิด ถ้าปรกติเราหมดแรงตอนบ่าย ให้เก็บเวลาช่วงนั้นเอาไว้ทำกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้พลังทางอารมณ์มาก เช่น อ่านหนังสือหรืออยู่กับเพื่อน อย่าทำอะไรเครียดๆ เวลาเหนื่อยหรือเครียด

              
5. สังเกตอารมณ์ตัวเองในเวลาช่วงต่างๆ ของเดือน 

ผู้หญิงบางคนพบว่า ช่วงเวลาที่ตัวเองอารมณ์ไม่ดีสัมพันธ์กับรอบเดือน

              
6. ออกกำลังกาย 
การออกกำลังกายช่วยให้เราแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ การออกกำลังกายอย่างน้อยแค่วันละ 20 นาที สามารถทำให้รู้สึกสงบและมีความสุขได้ การออกกำลังจะช่วยเพิ่มการผลิตเอ็นดอร์ฟีนของร่างกายด้วย เอ็นดอร์ฟีนเป็นสารเคมีในร่างกาย ที่ทำให้เกิดความรู้สึกดีและมีความสุขตามธรรมชาติโดยไม่ต้องพึ่งยาเสพติด

              
7. รู้จักไตร่ตรองแยกแยะ

              
8. ฟังเพลง 


งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า จังหวะของเสียงเพลงช่วยจัดระเบียบความคิดและความรู้สึกมั่นคงภายในจิตใจ และช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ

              
9. โทรหาเพื่อน 

การขอความช่วยเหลือทำให้คนเรารู้สึกผูกพันกับคนอื่นและรู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลง และการโอบกอดช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกดีออกมา ซึ่ง
จะช่วยให้เรารับมือกับอารมณ์ได้

             
10. อยู่ท่ามกลางคนที่มีความสุข 

อารมณ์ดีเป็นโรคติดต่อที่แพร่ได้เร็วมา เราจะเลียนแบบสีหน้า การแสดงออก กล้ามเนื้อ ท่าทาง รูปแบบการพูด เพื่อให้เข้ากับคนที่เราอยู่ด้วยโดยที่เราไม่รู้ตัว

ดื่มน้ำเย็น เป็นอันตรายจริงหรือ ?

ดื่มน้ำเย็น สดชื่นดี แต่อันตราย

ได้รับอีเมล์ฉบับหนึ่ง จั่วหัวว่า ? ดื่มน้ำเย็น สดชื่นดี แต่อันตรายพอเปิดอ่านตอนแรกก็ตกใจ เพราะปัจจุบันใครๆ ก็ดื่มน้ำเย็นกันทั้งนั้น โดยข้อความที่ส่งต่อๆ กันมามีใจความว่า ? เวลาได้กินน้ำเย็นๆ สักแก้ว หลังอาหารมันรู้สึกชื่นใจดีใช่มั้ย แต่ว่าน้ำเย็นจะทำให้ไขมันที่คุณเพิ่งกินเข้าไปจับตัวเป็นไขขึ้นมา ซึ่งจะส่งผลให้การย่อยอาหารช้าลง ถ้าคราบไขมันทำปฏิกิริยากับกรด มันจะแตกตัวแล้วถูกดูดซึมไปที่ลำไส้ ไขมันที่แตกตัวนี้จะดูดซึมได้เร็วกว่าอาหารทั่วไปแล้วจะเคลือบลำไส้เราไว้ ในไม่ช้ามันก็จะแปรสภาพเป็นไขมันก้อนๆ และเป็นบ่อเกิดของมะเร็งในที่สุด ดังนั้นควรดื่มน้ำอุ่นหลังอาหารดีกว่า?

ชาช่วยยั้บยังการสะสมของไขมัน

ชาช่วยยั้บยังการสะสมของไขมัน 

ผลวิจัยพบว่าการบริโภคชาจะช่วยยับยั้งความเสียหายของเลือดที่เชื่อมโยงกับไขมันในอาหารที่นำไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ ในการศึกษา โดยให้หนูกินอาหารที่มีไขมันสูงและอาหารปกติ  และแบ่งสองกลุ่มเป็นกลุ่มย่อย ๆ อีก ต่อจากนั้นให้เครื่องดื่มที่ไม่เหมือนกันในแต่ละกลุ่ม มีน้ำเปล่า ชาดำ ชาเขียว ในเวลา 14 สัปดาห์ กลุ่มที่ดื่มชาทั้งสองชนิดยับยั้งการเพิ่มของน้ำหนักตัวและการสะสมของไขมันหน้าท้องเนื่องจากการกินอาหารไขมันสูง แต่ชาดำนั้นช่วยลดอันตรายของไขมันในเลือดได้ดีกว่า  

การศึกษาของมหาวิทยาลัยโกเบ ประเทศญี่ปุ่น ที่ถูกเผยแพร่ในในวารสารเกษตรและเคมีอาหาร  พบว่าการเพิ่มขึ้นของคอเลสเตอรอล น้ำตาลในเลือดสูง และ การต่อต้านอินซูลิน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 จะมีผลต่อการผลิตสารอินซูลิน โรคอ้วนในประเทศตะวันตกเพิ่มขึ้นส่งผลให้คนจำนวนไม่น้อยมีการต่อต้านอินซูลลิน

ยิ่งนอนดึก ยิ่งเร่งวันตาย

การนอนดึกเป็นเหตุให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับ เครื่องยนต์ overload ไม่ช้าเครื่องก็พัง วิธีแก้ไขในกรณีต้องทำงานดึก เพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมเร็ว ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงาน มักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก

1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอเกิดอาการล้า
     2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้

ระบบการย่อยอาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึก อุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษ อะไรต่างๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้ เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อสัตว์ ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนมแทนไข่) 

หลากอารมณ์คุณแม่ตั้งท้องต้องรู้

คุณแม่ที่ตั้งท้องหลายคนสงสัยทำไมท้องแล้วอารมณ์แปรปรวนง่ายจัง เดี๋ยวหงุดหงิด อารมณ์เสีย น้อยใจก็บ่อย บางทีออกจะเศร้าๆ แม้กระทั่งคนใกล้ชิด ยังรู้สึกถึงความแปรปรวนนี้ อย่าลืมว่าเจ้าตัวน้อยในครรภ์สามารถตอบสนองต่ออารมณ์ต่างๆ ของคุณได้ มาทำความเข้าใจอารมณ์ที่เปลี่ยนไป พร้อมวิธีรับมือง่ายๆ ที่แม่ท้องต้องรู้กันดีกว่าค่ะ
 
สาเหตุอารมณ์เปลี่ยน

สาเหตุหลักของอารมณ์ที่ไม่คงที่ของแม่ท้องคือ ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปค่ะ และเจ้าฮอร์โมนที่ว่าก็คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจนนั่นเอง ใน 1 วัน ร่างกายแม่ท้องจะผลิตฮอร์โมนชนิดนี้มากพอๆ กับปริมาณฮอร์โมนที่ร่างกายของคนปกติใช้เวลาผลิตถึง 3 ปี กันเลยทีเดียว มิน่าล่ะ อารมณ์ถึงแกว่งไปมา อะไรๆ ก็ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยตลอด จนแม่หลายคนกังวลว่าตัวเองผิดปกติหรือเปล่า เพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้น อยากชวนแม่ๆ มารู้จักอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงไตรมาสกันค่ะ

ชะลอความแก่ได้ถึงระดับเซลล์

ผลการศึกษาในเยอรมนีพบว่า การออกกำลังกายระยะยาว จะช่วยชะลอความชราได้จนถึงระดับเซลล์ ขณะที่การศึกษาในสวีเดน พบว่าคนที่มีสุขภาพหัวใจแข็งแรงมักฉลาดและประสบความสำเร็จในการเรียน


มหาวิทยาลัยซาร์แลนด์ ในเยอรมนี เผยในวารสารเซอร์คูเลชั่น ว่า ได้เน้นศึกษาเทโลเมียร์ซึ่งเป็นดีเอ็นเอหุ้มปลายโครโมโซม ที่ช่วยให้ดีเอ็นเอของเซลล์ คงสภาพ เทโลเมียร์จะหดสั้นลงตามวัยที่เพิ่มขึ้น แต่พบว่านักกีฬาที่มีการออกกำลังกายฝึกความแข็งแรงของร่างกายมาอย่างโดยตลอด เทโลเมียร์หุ้มปลายเซลล์ภูมิคุ้มกันสำคัญจะสั้นลงช้ากว่าคนไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ

นักวิจัยวัดความยาวเทโลเมียร์จากตัวอย่างเลือดของนักกีฬาอาชีพ เปรียบเทียบกับคนสุขภาพแข็งแรงแต่ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ  พบว่าการออกกำลังกายมาโดยตลอดช่วยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์เทโลเมอเรส ที่ช่วยให้เทโลเมียร์คงสภาพ ยิ่งมาออกกำลังกายต่อเนื่องมาหลายสิบปีจะยิ่งเห็นผลชัดเจน เอ็นไซม์นี้ช่วยลดการหดสั้นลงของเทโลเมียร์ ที่ลิวโคไซต์ เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่ช่วยต่อสู้กับเชื้อโรค นักวิจัยสรุปว่าการออกกำลังกายให้ผลโดยตรงในการชะลอความชรา

ด้านนักวิจัยมหาวิทยาลัยโกเธนเบิร์กในสวีเดน วิเคราะห์ข้อมูลชายสวีเดนมากกว่า 1.2 ล้านคน ที่เกิดระหว่างปี 2493-2519 พบว่าคนที่มีสุขภาพหัวใจแข็งแรงมักฉลาด ประสบความสำเร็จในการเรียนและมีฐานะทางสังคมดีกว่า พวกเขาเปรียบเทียบฝาแฝดในการศึกษานี้ และได้ข้อสรุปว่า ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมและการดำเนินชีวิตมีอิทธิพลมากกว่าพันธุกรรม ดังนั้น การส่งเสริมให้ประชาชนออกกำลังกายอาจช่วยยกระดับการศึกษาของคนทั้งประเทศได้ 

เตือนผู้ชาย เลี่ยงวางแล็ปทอปบนตัก กระทบคุณภาพอสุจิ

การใช้แล็ปทอปโดยวางไว้บนหน้าตัก อาจส่งผลเสียต่อผู้ใช้ต่อสุขภาพทางเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเพศชาย 


 โดยผลการศึกษาโดยนายเยลิม เชย์นกิน ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินปัสสาวะ จากสเตท ยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ นิวยอร์ค เปิดเผยว่า จากผลการศึกษาการวัดอุณหภูมิของถุงอัณฑะ ของผู้ชาย 29 คน ซึ่งวางแล็ปทอปไว้บนหน้าตัก และมีแผ่นรองปิดทับอีกชั้นหนึ่ง พบว่าอุณหภูมิของถุงอัณฑะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาก


 "ผู้ชายจำนวนหลายล้านคนนิยมใช้แล็ปทอป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยเจริญพันธุ์" นายเชย์นกิ้น กล่าว "ภายใน 10-15 นาที อุณหภูมิของถุงอัณฑะของพวกเขาก็อยู่ในระดับสูงกว่าระดับความปลอดภัยแล้ว โดยที่พวกเขาไม่ทันรู้สึก"

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับเรื่องของ "ผม"

อ่านแล้วอย่านึกว่าผมที่เป็นบุคคลนะ อันที่จริงแล้วเป็นเรื่องของผมบนศีรษะต่างหาก ส่วนเรื่องขยาดที่ว่าก็เป็นเรื่องของความเชื่อผิด  เกี่ยวกับการบำรุงและดูแลเส้นผมของสาว  นี่แหละ ลองอ่านดูจะได้รู้ว่า เราเป็นอีกคนที่ปฏิบัติตัวตามความเชื่อเหล่านั้นหรือเปล่า ไม่ต้องล้างครีมนวดออกจนหมดเพื่อช่วยให้ผมลื่นสลวยตลอดทั้งวัน


แค่คิดก็ผิดแล้วเพราะว่าการสระผมคือการชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากเส้นผม แชมพูและครีมนวดก็เป็นเพียงน้ำยาบำรุงเส้นผมขณะสระเท่านั้น จำเป็นต้องล้างออกให้หมด จึงจะถือว่าเป็นการสระทำความสะอาดที่ถูกต้อง หากล้างน้ำยาไม่หมด ผลเสียที่จะตามมา คือ เส้นผมและหนังศีรษะจะมันเยิ้มจัดแต่งทรงลำบาก ยิ่งถ้าคุณไดร์ผมด้วยล่ะก็ น้ำยาที่ตกค้างอยู่จะเป็นตัวเก็บความร้อน สามารถทำให้ผมเสียและยากเกินกว่าจะบำรุงให้สวยเหมือนเดิม

 - ยิ่งบำรุงมาก สุขภาพผมยิ่งดี
          เป็นเพราะรักเส้นผมมาก อยากให้ผมมีสุขภาพดี จึงทำทุกวิถีทางเพื่อบำรุงเส้นผม ทั้งอบไอน้ำ ทรีตเม้นท์ หมักโคลน ฯลฯ ถึงแม้จะเป็นการบำรุงก็ตาม แต่ถ้ามากเกินไปก็ใช่ว่าจะดี ทรีตเม้นท์ผมบ่อยเกินไป ก็ส่งผลให้ความมันบนหนังศีรษะเพิ่มมากขึ้น ทำให้จัดแต่งทรงยาก และการอบไอน้ำถี่จนเกินไป จะทำให้เส้นผมและหนังศีรษะโดนความร้อนบ่อยจนแห้งกระด้าง

 - เปลี่ยนสีผมเป็นเรื่องง่าย
          การเปลี่ยนสีผมบ่อย  เพื่อให้เข้ากับเทรนด์แฟชั่นนั้น มีหลายท่านทำด้วยตนเองที่บ้านเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยาก แถมยังช่วยประหยัดรายจ่าย แต่นั่นเป็นการทำร้ายเส้นผมทางอ้อมค่ะ การเปลี่ยนสีผมถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เนื่องจากน้ำยาที่ใช้ย้อมมีหลากหลายประเภท จำเป็นต้องเลือกให้เหมาะกับสภาพเส้นผม และกรรมวิธีการย้อมก็ต้องอาศัยความชำนาญ ถ้าย้อมแล้วสีไม่ได้อย่างต้องการก็ต้องย้อมใหม่ ยิ่งย้อมบ่อยผมก็ยิ่งเสีย

สระผมในตอนกลางคืนเพราะช่วงเช้าต้องรีบเร่ง
          หากช่วงเช้าต้องรีบเร่งขนาดนั้นก็สามารถทำได้ แต่ควรรอให้ผมแห้งก่อนจึงนอนได้ การนอนทั้ง  ที่ผมยังเปียกอยู่นั้น ทำให้เส้นผมอับชื้นเป็นเหตุให้เกิดเชื้อรา เจ้าเชื้อรานี่แหละจะทำให้คุณคันหนังศีรษะมาก และเชื้อเราจะลามไปที่หมอนหนุนนอนด้วย ทีนี้ต่อให้ผมคุณแห้ง เมื่อคุณนอนลงที่หมอนใบเดิม เชื้อราก็จะทำให้คุณคันได้เหมือนเดิม นอกจากจะทำให้หนังศีรษะและเส้นผมมีสุขภาพแย่แล้ว คุณยังต้องหงุดหงิดและเสียบุคลิกกับอาการคันอยู่ตลอด

ทำอย่างไร? สุขภาพถึงจะแจ่มทั้งข้างนอกข้างใน

ความแข็งแรงที่สมบูรณ์แบบคือต้องแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ แต่จะทำอย่างไรล่ะ สุขภาพถึงจะแจ่มทั้งข้างนอกข้างในได้อย่างที่ต้องการ


1. ปลุกสมองด้วยน้ำชา
           ในตอนเช้าแทนที่จะดื่มกาแฟอย่างเคย ลองเปลี่ยนมาดื่มน้ำชาแทน เพราะมีคาเฟอีนน้อยกว่าชาครึ่งหนึ่ง และมีแมงกานีสที่ช่วยทำให้สมองทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

2. ไม่ใช้ลิฟต์
           ในลิฟต์แคบๆ นั้นไม่สามารถระบายอากาศได้เพียงพอ จึงมีเชื้อโรคล่องลอยอยู่มากมาย ถ้าเปลี่ยนมาขึ้นบันไดแทน นอกจากอากาศจะดีกว่ากันแล้ว เรายังได้ออกกำลังกายทำให้หัวใจสูบฉีดโลหิตได้ดีขึ้นด้วย

3. ออกกำลังกายเป็นประจำ
           การออกกำลังกายจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้อารมณ์ดี และกระตุ้นการเผา ผลาญอาหารทำให้อ้วนยากอีกด้วย

4. ใช้ถุงยางแบบใหม่
           ช่วยให้ความรู้สึกเวลาร่วมเพศเปลี่ยนไป สร้างความแปลกใหม่ให้กับตัวเอง นอกจากนี้การใช้คอนดอมเป็นประจำยังลด ความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปากมดลูก

5. เริ่มต้นในวันใหม่ด้วยธัญพืช
           ได้แก่ซีเรียลธัญพื้ชน้ำตาลต่ำกับนมพร่องไขมันหนึ่งชาม เป็นอาหารเช้าที่เหมาะกับทุกคน ร่างกายจะได้ทั้งโปรตีน ไฟ เบอร์ แป้ง และวิตามิน แร่ธาตุต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับหนึ่งวัน

6. ทานปลาเป็นประจำ
           ปลามีโปรตีนสูงและช่วยกระตุ้นสมองให้ตื่นตัวอยู่เสมอ ช่วยลดโคเลสเตอรอลและมีไขมันที่ดีต่อร่างกาย

7. หยุดพักเสียบ้าง
           ระหว่างวันควรเวลาสัก 10 นาที หยุดพักบ้างเพื่อยืดเส้นยืดสาย ร่างกายจะได้ไม่ล้าและทำให้เลือดสูบฉีดได้ทั่วตัว เช่น ลุกขึ้นมาเดินหรือก้มตัวขึ้นๆ ลงๆ

8. กินอาหารทะเล
           อาหารทะเลมีวิตามินบี 6 อยู่เป็นจำนวนมาก จะช่วยลดอาการต่างๆ ก่อนมีประจำเดือนได้และยังช่วยลดอัตราการเป็น อัลไซเมอร์ได้ถึง 4 เท่า

9. ใช้ไหมขัดฟันขจัดเศษอาหาร
           เพราะเศษอาหารจะทำให้มีกลิ่นปาก จึงควรกำจัดออกไปเพื่อรักษาฟันให้แข็งแรงและบุคลิกภาพที่ดี

10. กินเต้าหู้
           หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันและแคลอรี่สูง หันมากินโปรตีนจากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ ถั่วเหลือง นมถั่วเหลือง อย่างน้อย อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง จะสามารถลดแคลอรี่ได้ถึง 100 -150

ฆาตกรเงียบ ‘ความดันโลหิตสูง’

เวลาแพทย์หรือพยาบาลตรวจความดันโลหิตที่บริเวณต้นแขน แล้วระบุค่าที่วัดได้ อาทิ 120/80 130/90 เจ้าของความดันที่วัดได้ก็เพียงแค่รับรู้ แต่หลายคนไม่ได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของความดันโลหิตและค่าที่วัดได้ หากไม่ผิดปกติก็เบาใจ ไม่ปักใจสงสัยที่มาที่ไปของค่าดังกล่าว สำหรับความดันโลหิต คือ แรงดันเลือดที่เกิดจากหัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย แบ่งเป็น 2 ค่า ประกอบด้วย ความดันตัวบน เป็นแรงดันเลือดขณะหัวใจห้องล่างซ้ายบีบตัว และความดันตัวล่าง เป็นแรงดันเลือดขณะหัวใจห้องล่างซ้ายคลายตัว 

โดยค่าความดันโลหิตที่เหมาะสม ต้องอยู่ที่ระดับ 120/80 มม.ปรอท หากต่ำกว่านี้จัดเป็นความดันโลหิตต่ำ แต่ถ้าสูงเกิน 140/90 มม.ปรอท แสดงว่าเป็นความดันโลหิตสูง

ภาวะความดันโลหิตสูง เป็นฆาตกรเงียบ ภัยสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม เพราะจะไม่มีอาการบ่งบอก นอกจากผู้ป่วยได้รับการตรวจวัดความดันโลหิตจึงจะทราบ ซ้ำร้ายมากกว่าร้อยละ 90 ของผู้ป่วย ไม่ทราบสาเหตุของความดันโลหิตสูง

ปัญหาสุขภาพที่จะตามมาเมื่อเป็นความดันโลหิตสูง มีทั้งโรคหัวใจและหลอดเลือด ภาวะไตวาย เส้นเลือดในสมองแตก อัมพฤกษ์ อัมพาต ตาพร่ามัว หมดสติและเสียชีวิตได้ 

เครื่องดื่มยามเช้าที่เหมาะสมกับตัวคุณ


ในตอนเช้าๆ หลายๆ คนคงต้องการที่จะหาอะไรดื่มก่อนทำงาน  เพื่อให้ร่างกายมีพลังในการทำกิจกรรมต่างๆ เราเลยหาเครื่องดื่มที่เหมาะสมกับเช้าวันใหม่มาแนะนำกัน

น้ำมะนาว  ลองหาน้ำมะนาวดื่มตอนเช้า เพราะในน้ำมะนาวจะมีกรดกรดซิตริกมีวิตามินซีที่นอกจากจะช่วยขับเสมหะ  แก้อาการเจ็บคอแล้วยังช่วยให้ร่างกายสดชื่น แถมกลิ่นหอมอ่อนๆ จากเปลือกที่โดนคั้นยังช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้ดีอีกด้วย

น้ำขิง   สำหรับคนที่มีอาการเมาค้าง คลื่นไส้ อยากอาเจียน ก็ขอแนะนำน้ำขิงร้อนๆ สักแก้วเพราะในขิงมีสารเคมีชนิดที่เรียกว่า “จินเจอรอล” (Gigeyol) ที่เป็นสารเคมีประเภทน้ำมันหอมระเหยที่ให้รสและกลิ่นพิเศษไม่เหมือนใคร   จัดอยู่ในกลุ่มแอลกอฮอล์ที่ไม่ทำให้เรารู้สุกมึนเมา   แถมยังแก้อาการเมาได้ดี  การทำน้ำขิงให้อร่อยนั้น  ควรบุหัวขิงที่ไม่แก่จัดจนเกินไป   ต้มด้วยน้ำร้อนพอเดือดอย่าต้มนานเกินไป  เพราะขิงจะเสียรสและกลิ่นไปได้

น้ำผักและผลไม้  เป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินซี วิตามินเอ โฟลิคแอซิค และแร่ธาตุ เช่น โซเดียม โปแตสเซียม สังกะสี นอกจากนั้นในน้ำผักและผลไม้ยังมีส่วนผสมของน้ำตาลโดยธรรมชาติ  ซึ่งสามารถให้พลังงานแก่ร่ายกาย  ช่วยให้เราหายเหนื่อยหายเพลีย  ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น

น้ำหวาน   คนที่นอนดึกส่วนใหญ่ยามเช้าของคุณจะมีอาการปวดหัว มึนศีรษะ เกิดอาการเครียดทางประสาท  ซึ่งอาจเป็นเพราะร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ควรรับประทานอาหารเช้าที่มีแป้งและน้ำตาลซึ่งจะสามารถช่วยได้  โดยเฉพาะน้ำตาลนั้นจะถูกดูดซึมได้ดีและง่าย  ดังนั้นน้ำหวานจะทำให้จิตใจสงบ คลายอาการเครียดและมึนงงได้อย่างดี

นมถั่วเหลือง   ปัจจุบันนมถัวเหลืองหาซื้อได้ง่าย  และเหมาะสมสำหรับคนที่รักสุขภาพ เพราะนมถัวเหลืองเป็นเครื่องดื่มที่ให้โปรตีนที่มีคุณสมบัติเหมือนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ อุดมไปด้วย คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอบีบี1, บี2, บี6, บี12  ในเมล็ดถั่วเหลืองนั้นยังมีเลซิทิน  ซึ่งเป็นสารบำรุงสมอง เพิ่มความทรงจำ ลดไขมันและลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย  นมถั่วเหลืองยังช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน  โรคหัวใจล้มเหลว ท้องผูก สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งในลำไส้ ริดสีดวง ลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้อีกด้วย

กาแฟ  กาแฟเป็นเครื่องดื่มยามเช้าของคนทำงาน  เพราะกาแฟช่วยกระตุ้นความสดชื่นและความกระปี้กระเปร่าก่อนลงมือทำงาน  นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่ ลดอาการหอบในผู้ที่เป็นโรคหอบหืด  และเป็นผลดีต่อนักกีฬาในการเพิ่มความทนทานและความอืดในกีฬาที่ต้องใช้เวลานาน

บทความสุขภาพที่เีกี่ยวข้อง