เคล็ดไม่ลับสำหรับการเลิกกาแฟ

ใครที่กำลังมองหาวิธีเลิกติดกาแฟ วันนี้เรามีเคล็ดลับมาบอก

ให้ลดปริมาณการดื่มกาแฟในแต่ละวันลง เช่น จากที่เคยดื่มวันละ 4 แก้วให้ลดลงเหลือ 3 แก้ว แต่หากจำเป็นต้องดื่มแก้วที่ 4 ให้ชงด้วยกาแฟสกัดคาเฟอีน จนกระทั่งร่างกายเริ่มชินก็ให้ลดปริมาณลงอีก 

สำรวจว่า นอกจากกาแฟแล้ว ยังได้รับคาเฟอีนจากอาหารชนิดใดอีกบ้าง เช่น ชา โกโก้ ช็อคโกแลต ซีเรียลรสโกโก้ เครื่องดื่มชูกำลัง เป็นต้น จากนั้นให้ลดการบริโภคทุกอย่างร่วมกับการลดปริมาณกาแฟที่ดื่มในแต่ละวัน หรือเลิกบริโภคอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้
 
นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอในตอนกลางคืน อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง 

ดื่มน้ำสะอาดวันละประมาณ 1-2 ลิตร และรับประทานวิตามินบีรวม ซึ่งจะช่วยทุเลาอาการอ่อนเพลีย 

การออกกำลังกาย จะช่วยให้สมองเพิ่ม ซีโรโตนิน และโดปามีน ได้เช่นเดียวกันกับการได้รับคาเฟอีน 

งดดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ 

รับประทานอาหารเช้า เพราะระดับน้ำตาลในกระแสเลือดที่เพียงพอจะช่วยให้สมองและร่างกายทำงานได้โดยไม่อ่อนเพลีย 

หากิจกรรมหรืองานอดิเรกทำ เพื่อหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ และควรหลีกเลี่ยงการไปร้านกาแฟ 

หากมีอาการปวดศรีษะระหว่างงดกาแฟ สามารถรับประทานยาพาราเซตามอล หรือแอสไพรินได้ ไม่ควรรับประทานยาแก้ปวดไมเกรนซึ่งมีส่วนผสมของคาเฟอีนอยู่ 

หากมีอาการหงุดหงิด ใจสั่น อาจจะใช้วิธีอาบน้ำเย็นช่วยได้ 

เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้เลิกติดกาแฟได้แล้ว

EQ กับคนวัยทำงาน

อีคิว หรือความฉลาดทางอารมณ์ เป็นความสามารถของมนุษย์ที่จะเข้าใจอารมณ์ของตนเองและผู้อื่นสามารถเป็นการบริหารจัดการอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม รับผิดชอบ และจัดการปัญหา อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ ตลอดจนดำเนินชีวิตของตนเองได้อย่างมีความสุข นักจิตวิทยาหลายท่านที่มีความเชื่อว่าความสำเร็จหรือความสุขของคนเรานั้น ไม่ได้มาจากความสามารถทางเชาว์ปัญญา หรือความเก่งในด้านการเรียนอย่างเดียว เราอาจมีประสบการณ์ว่าคนที่เรียนเก่งได้รับเกียรตินิยม ก็ไม่ได้เป็นตัวรับประกันว่าคนๆนั้น จะประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนตัวหรือหน้าที่การงานเสมอไป คนเรียนเก่งแต่เข้ากับคนอื่นไม่ได้ มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่นเป็นสิ่งที่เราเองมีโอกาสพบเจอได้เสมอ
 
อีคิวพัฒนาได้แม้เข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว

เนื่องจากการพัฒนาการทางจิตใจยังคงสามารถดำเนินไปเสมอแม้เราจะอายุเพิ่มมากขึ้น อยู่ที่ว่าบางท่านอาจจะช้าเร็วไม่เท่ากัน เราอาจจะเห็นได้ว่าบางคนอายุมากแล้วแต่การแสดงอารมณ์ยังดูเหมือนเด็กๆ แต่บางคนก็ดูโตกว่าวัยขึ้นอยู่กับการเรียนรู้และฝึกตนเอง ก่อนฝึกฝนพัฒนาอีคิว ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า อารมณ์นั้นเป็นปฏิกิริยาตอบสนองทางด้านจิตใจ เมื่อมีสิ่งกระตุ้นเกิดขึ้น การแสดงออก
ด้านอารมณ์ของมนุษย์ทั่วๆโลกคล้ายๆกัน ไม่ว่าจะเสียใจ ดีใจ กังวล โกรธ จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่เราจะมีอารมณ์ต่างๆเกิดขึ้น อีคิวเกิดได้ต้องฝึกฝน สามารถประยุกต์ไปฝึกในชีวิตประจำวันได้ เริ่มต้นของการฝึกฝนพัฒนาอีคิว ต้องฝึก 3 ส่วน คือฝึกความเก่งในเรื่องเข้าใจอารมณ์ความเก่งรับผิดชอบ แก้ปัญหา สร้างแรงจูงใจ และความเก่งในการสร้างความสุข

เก่งเข้าใจอารมณ์  ฝึกด้วยการรู้และบอกอารมณ์ที่เกิดขึ้น และยอมรับอารมณ์ที่เกิดไม่ว่าเป็นด้านบวกหรือลบ เช่น "วันนี้โดนดุ เซ็งมาก" ไม่เก็บกดการบอกอารมณ์และยอมรับอารมณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้อารมณ์ด้านลบนั้นลดลงได้เร็ว ปัญหาของคนส่วนใหญ่ คือเก็บกดไม่ยอมรับอารมณ์ที่เกิดขึ้นจนทำให้อารมณ์สะสมมากขึ้นจนสุดท้ายไม่สามารถควบคุมได้ ระเบิดอารมณ์ออกมา เมื่อฝึกได้แล้วเราจะเกิดความเข้าใจตนเองและผู้อื่น และสามารถจัดการอารมณ์ของตนเองได้เหมาะสมเข้าอกเข้าใจคนอื่นมากขึ้น

ฝึกความเก่งด้านความรับผิดชอบ แก้ปัญหา สร้างแรงจูงใจ  ลองนึกถึงประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมา ท่านประสบความสำเร็จอะไรบ้าง และเราต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้เป้าหมายที่วางไว้สำเร็จลุล่วง และเวลาท้อแท้ มีปัญหา ท่านทำอย่างไรบ้าง คงจำประสบการณ์ได้ว่า ท่านทำอย่างไรบ้างกว่าจะเรียนจบ รับปริญญาได้

เมื่อก้าวสู่ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ก็ไม่ต่างกัน คนที่สร้างเป้าหมายให้ตนเองก็จะมีแรงจูงใจในการที่จะทำงาน ทำสิ่งต่างๆได้ แต่มักมีปัญหาว่า ทำไปแล้วแรงจูงใจตก หมดพลังมำงานหรือใช้ชีวิตไปวันๆ อยากจะลาออกแต่ออกไม่ได้ มีคนให้กำลังใจแล้วสักพักกลับรู้สึกแย่เหมือนเดิม สาเหตุส่วนหนึ่งมักมาจากเราเผลอไปสร้างแรงจูงใจจากสิ่งภายนอก ซึ่งก็ไม่ได้ผิดเพียงแต่สิ่งต่างๆภายนอกนั้นเป็นเรื่องที่เรามักควบคุมได้ยาก เปลี่ยนแปลงได้ยาก เราจึงมีโอกาสผิดหวังสูง ถ้าเปลี่ยนไปได้ก็ถือว่าดีไป บางคนอยากจะมีเงิน แต่เรามักจะไปแก้เรื่องที่ภายนอก เช่น บริษัทน่าจะขึ้นเงินเดือน ให้โบนัสมากๆ ให้สวัสดิการต่างๆเพิ่มขึ้น (ถ้าได้ก็ถือเป็นเรื่องดี)แต่หากเราเริ่มที่บริหารจัดการที่ตัวเราเอง โอกาสสำเร็จจะมีมากกว่า ชีวิตไม่วุ่นวายที่จะต้องไปแก้สิ่งต่างๆภายนอก เช่น เราอยากมีเงินเก็บ เราก็ใช้จ่ายน้อยลง เก็บออมมากขึ้นมาทำงานเร็วขึ้นเพื่อไม่ให้ถูกหักเงินเดือน หรือบางท่านอยากหุ่นดี ออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ต้องพึ่งยาลดน้ำหนัก เป็นต้น

ฝึกสร้างแรงจูงใจ โดยการตั้งเป้าหมาย ฝึกให้กำลังใจตนเอง ลองเขียนบันทึกว่าเราอยากเห็นตนเองเป็นอย่างไรในอนาคต ทำให้เราเห็นภาพตนเองชัดเจนในอนาคตเมื่อเรามีเป้าหมายแล้วเราจะมีความกระตือรือร้น มีความฝัน ความหวังในชีวิต หากตั้งแล้วรู้สึกท้อแท้ ท่านอาจต้องกลับไปดูใหม่ว่า ท่านเผลอไปแก้เรื่องภายนอกหรือคาดหวังสูงเกินไปหรือไม่ การมีเป้าหมายก็เหมือนกับการเดินทางที่มีแผนที่ หลงทางไปบ้างแต่ยังไปถึงจุดมุ่งหมายได้ สุดท้ายอย่าลืมให้กำลังใจตนเองอย่างต่อเนื่องเพื่อให้กำลังใจไม่ขาดตอน

สุดท้ายฝึกเรื่องสร้างความสุข  บางท่านบอกข้อนี้ถนัดถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะหลายท่าน ดีกับคนอื่น ให้กำลังใจชาวบ้านได้เก่ง รับผิดชอบ ทำงานดี หัวหน้าชื่นชมแต่ไม่มีความสุข อันนี้ยังไม่ถือว่าอีคิวดีนัก สุขที่แท้จริงนั้นสำคัญที่สุดคือ ความสุขที่เกิดจากตนเอง ได้แก่ ความภาคภูมิใจในตนเอง ความสงบสุขทางจิตใจ

ลองฝึกฝนและพยายามสร้างอีคิวด้วยตัวท่านเองดู แล้วจะพบว่าความสุขของชีวิต อยู่ใกล้แค่เอื้อม

10 วิธีแก้ง่วงตอนกลางวัน

10 วิธีแก้ง่วงตอนกลางวัน + 9 วิธีรับประทานอาหารไม่ให้ง่วงซึมหลังเที่ยง
เกือบจะทุกคนมีอาการง่วงตอนกลางวันจนเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

           
ซึ่งอันที่จริงก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ธรรมดาอย่างเราที่จะง่วงกันได้ แต่มีบางคนที่ความง่วงนั้นเกินกว่าที่จะควบคุมได้ ทำให้ การทำงานเป็นไปอย่างยากลำบาก หรือไม่ก็หันไปพึ่งกาแฟกันไป อาการง่วงอย่างผิดธรรมดาเป็นอาการที่เราเรียกว่า hypersomnia ซึ่งทำให้เราง่วงและสามารถหลับได้ง่ายๆ ในทุกที่เลยทีเดียว
ไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลยว่าปัญหาการง่วงนอนตอนกลางวันเกินขีดจำกัดมักจะเกิดจากตอนกลางคืน โดยส่วนมากจะเป็นการนอน ไม่พอหรือการนอนตอนกลางคืนถูกรบกวน ทำให้คุณหลับได้ยากหรือหลับๆ ตื่นๆ เมื่อคุณไม่สามารถนอนหลับเป็นปกติได้ใน ตอนกลางคืน ก็จะทำให้คุณเป็นโรคนอนหลับยากจนพัฒนาไปถึงอาการง่วงนอนตอนกลางวัน เป็นผลกระทบทั้งด้านการทำงานและด้านจิตใจ

           
พฤติกรรมหลับยากนี้เองเป็นปัญหาที่สำคัญสำหรับการง่วงนอน ตอนกลางวัน ก่อนที่คุณจะไปหายานอนหลับมากินเพื่อให้หลับง่ายขึ้น หรือหันไปพึ่งกาแฟอย่างบ้าคลั่งในตอนกลางวัน เรามี 10 วิธีในการแก้ปัญหานี้ซึ่งจะช่วยคุณได้
 

1. นอนหลับให้เพียงพอ
           แน่นอนว่าคำแนะนำข้อแรกมักเป็นสิ่งที่ เห็นได้ชัดอยู่แล้วนี่นา แต่ทว่าพวกเราในสังคมเมืองจำนวนมากไม่ได้ใช้เวลาในการ นอนอย่างมีคุณภาพ ในผู้ใหญ่ทั่วไปควรจะนอนเป็นจำนวน 7-9 ชั่วโมงต่อวัน ในขณะที่วัยรุ่นควรมีเวลานอนเพียงพอถึง 9 ชั่วโมง เลยทีเดียว ดังนั้นคุณควรเริ่มต้นพัฒนาการนอนหลับในกลางคืนอย่างจริงจังให้สามารถนอนได้ ประมาณ 8 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งคุณ สามารถใช้การออกกำลังกายในตอนเช้า หรือตอนเย็นเข้ามาช่วย และดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอนจะสามารถช่วยคุณให้หลับสบายขึ้น อีกทั้งคุณไม่ควรอ่านหนังสือ หรือดูทีวีรับข้อมูลข่าวสารที่ทำให้เกิดอาการเครียด ตื่นเต้น หรือขุ่นมัว คุณควรทำจิตใจให้ผ่อนคลายที่สุดเพื่อทำให้สามารถหลับได้ง่ายขึ้น

2. เอาสิ่งรบกวนการนอนไปให้พ้นห้องนอนซะที
           มีคำกล่าวไว้ว่าเตียงนอนมีไว้สำหรับนอน และมี sex ซึ่งเป็นเรื่องจริง คุณไม่ควรจะอ่านหนังสือ ดูทีวี หรือเล่นวีดีโอเกมส์บนเตียงนอน หรือแม้แต่ใช้คอมพิวเตอร์บนเตียง เริ่มต้นสร้างวินัยในห้องนอนตอนนี้จะทำให้การพัฒนาการนอนของคุณเป็นไปได้ดี การได้ รับข้อมูลข่าวสารจากทีวี หรือการอ่านหนังสือ หรือแม้แต่เล่นวีดีโอเกมส์จะทำให้สภาวะทางอารมณ์ของคุณไม่พร้อมที่จะผ่อน คลาย ทำให้หลับได้ยาก

3. ตั้งเวลาตื่นที่แน่นอนเป็นประจำทุกวัน
           คนส่วนมากที่มีปัญหาในการนอนหลับมักจะได้รับคำแนะนำให้เข้านอน และตื่นเป็นประจำทุกวันเพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว รวมทั้ง การนอนและตื่นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เช่นกัน การตั้งเวลานอนและตื่นก็ยังเป็นปัญหาของคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะชีวิตคนเมือง ที่มีความเร่งรีบ มีงานด่วน มีงานล่วงเวลา มีรถติด และปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย

           อย่างไรก็ตามหากคุณพยายามจัดเวลานอนที่ชัดเจน และหลีกเลี่ยงหรือแก้ไขปัญหาที่จะทำให้ตารางเวลาการนอนของคุณ บกพร่องก็จะเป็นการดีสำหรับตัวคุณอย่างยิ่ง หากคุณสามารถนอนและตื่นเป็นประจำทุกวันได้สองถึงสามอาทิตย์ติดต่อกัน ร่างกายคุณจะปรับตัวเป็นความเคยชินเกิดขึ้น ทำให้การเข้านอนและตื่นนอนกลายเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เมื่อถึงเวลานอนคุณจะง่วงทันที และเวลาตื่นก็ไม่จำเป็นต้องมีนาฬิกาปลุกอีกด้วย เพราะเมื่อคุณทำเป็นประจำแล้วร่างกายของคุณจะจำเวลาตื่นได้เองโดยอัตโนมัติ

4. ค่อยๆ ขยับเวลานอนให้ไวขึ้น
           อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยคุณได้คือลองพยายามเข้านอนให้ไวขึ้นอย่างน้อย 15 นาที และขยับให้ไวขึ้นแบบนี้ทุกๆ วันเป็นเวลาสี่วันจากนั้น ให้นอนเวลานั้นติดต่อกันไปอีกสองถึงสามอาทิตย์ตามข้อที่ 3 จะทำให้คุณหลับได้ง่ายขึ้น การทำแบบนี้จะเป็นการฝึกร่างกายให้ นอนได้ดีกว่าการพยายามนอนให้หลับในทันที หรือพยายามนอนเร็วขึ้นหนึ่งชั่วโมงในคราวเดียว

5. ตั้งเวลาการกินอาหารที่แน่นอนทุกวัน
           การกินอาหารประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นมื้อไหนก็ตามคุณควรมีเวลาที่ชัดเจนเพื่อให้ร่างกายปรับตัวในการ ย่อยอย่างเป็นระบบระเบียบ และเป็นเวลาซึ่งจะมีผลกระทบต่อการนอนตอนกลางคืนของคุณ นอกจากนี้คุณไม่ควรรับประทานอาหารหนักๆ ก่อนนอนโดยเด็ด ขาดเพราะจะทำให้ระบบในร่างกายทำงานหนักมาก และนอนไม่หลับกระสับกระส่าย คุณไม่ควรได้้รับอาหารหนักก่อนเข้านอน สองถึงสามชั่วโมง

           ในแต่ละมื้ออาหาร คุณควรรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ และดีต่อสุขภาพการทานอาหารเป็นมื้อๆ เป็นเรื่องเป็นราว ดีกว่าการกิน junk food แบบลวกๆ หรือกินแซนวิชสองสามแผ่นกับกาแฟอย่างแน่นอน เวลาที่คุณกินอาหารไม่เพียงพอกับความต้องการของ ร่างกายจะทำให้เกิดอาการโหย ซึ่งจะทำให้คุณกินจุกกินจิกโดยไม่รู้ตัว และอาจน้ำหนักขึ้นโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน ยิ่งกว่านั้นก็จะมีปัญหาการนอนตามมาด้วย

6. อย่าพึ่งเข้านอนถ้ายังไม่ง่วง
           คุณควรจะเข้านอนเวลาที่รู้สึกเหนื่อยและง่วงพร้อมที่จะนอนไม่อย่างนั้นคุณจะไม่สามารถนอนหลับได้ง่ายๆ ทำให้เป็นการสร้าง นิสัยเสียในการนอนขึ้นมา ความเคยชินจากการนอนไม่หลับบนเตียงจะทำให้ร่างกายไม่รู้สึกว่า ฉันต้องนอนแล้วนะ ซึ่งเป็นส่วน หนึ่งของการฝึกนิสัยเสียให้กับตัวคุณ หากคุณนำข้อนี้ไปใช้ร่วมกับการตั้งเวลานอนที่ชัดเจน และออกกำลังกายเป็นประจำการเข้านอนตอนกลางคืนของคุณจะเป็นเรื่องง่ายขึ้นทำให้สามารถทำข้อ 6 นี้ได้ง่าย อย่าฝึกเข้านอนทั้งๆ ที่ยังตื่นเต็มที่เพราะจะบ่มเพาะ นิสัยหลับยากให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

7. อย่านอนตอนกลางวัน
           การนอนตอนกลางวันจะเป็นอุปสรรคในการนอนตอนกลางคืนอย่างแน่นอน คุณควรจะฝืนทนไม่ยอมนอนตอนกลางวันแล้วเก็บมา นอนตอนกลางคืน ซึ่งเป็นการฝึกระเบียบวินัยการนอนที่ดี

8. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
           หากปัญหาการหลับยากและการง่วงนอนตอนกลางวันเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกของคุณ คุณควรไปปรึกษาแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณยังง่วงนอนตอนกลางวันอย่างมากแม้ว่าจะนอนพอแล้วในตอนกลางคืน คุณอาจจะกำลังป่วยเป็นโรคบางอย่างมะเร็งในสมองก็สามารถทำให้เกิดอาการง่วงนอนตลอดเวลาได้เช่นกัน หรือคุณอาจจะเป็นโรคนอนไม่หลับอย่างรุนแรงก็เป็นได้ หรือคุณอาจมีอาการเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอก็เป็นไปได้ การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างจริงจังเป็นเรื่องที่สมควรอย่างยิ่ง ซึ่งจะช่วยให้คุณรับรู้ปัญหาที่แท้จริง แนวทางแก้ไขหรือวิธีรักษาต่อไปนั่นเอง
 

9 วิธีรับประทานอาหารไม่ให้ง่วงซึมหลังเที่ยง

 1. กินอาหารเช้าให้ถูกหลัก คือ กินภายใน 1ชั่วโมงแรกหลังจากตื่นนอน อาหารเช้าที่ดีจะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดมีความสมดุลไปตลอดวัน แถมด้วยอาหารประเภทโปรตีนไขมันต่ำปริมาณเล็กน้อยในตอนเช้า และทุกมื้อระหว่างวัน เพราะจะให้พลังงานได้ยาวนาน เช่น ไข่ นมสักแก้ว โยเกิร์ต กับขนมปังธัญพืชปิ้งสักแผ่น

2. กินอาหารเที่ยงให้พลังงานสูง ประกอบด้วยโปรตีน และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งโปรตีนจะกระตุ้นสารในสมองคือ catecholamines ที่จะทำให้คุณกระฉับกระเฉง ลองเลือกไก่ (ต้องทำให้สุกๆ ก่อน) อาหารทะเล เนื้อ เต้าหู้ ถั่วต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง น้ำเต้าหู้ ผักต่างๆ เช่น บล็อคโคลี ผักโขม หน่อไม้ฝรั่ง และผลไม้สัก 1 ส่วน

3. เลี่ยงสารกระตุ้น เช่น คาเฟอีน บุหรี่ เพราะเป็นตัวทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดแกว่งไกว การดื่มกาแฟยังทำให้ปัสสาวะบ่อย ซึ่งเป็นสาเหตุให้ร่างกายสูญเสียน้ำและระดับเกลือแร่

4. ดื่มน้ำเปล่า เพราะน้ำเปล่าไม่มีแคลอรี ไม่มีไขมัน ไม่มีโคเลสเตอรอล แต่จะช่วยระบบการเผาผลาญไขมันและฟื้นชีวิตชีวาคืนพลังงานให้กับร่างกายด้วย น้ำยังช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ลำเลียงออกซิเจน ฮอร์โมน สารอาหาร ภูมิต้านทาน และเพิ่มประสิทธิภาพของโปรตีนและเอนไซม์ที่จำเป็นต่ำระบบเมตาบอลิซึมด้วย

5. หยุดแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้คุณรู้สึกเซื่องซึม เหตุผลคือร่างกายสูญเสียสารอาหาร โดยเฉพาะวิตามินบี (ไธอามีนและโพเลท) ซึ่งเป็นสารอาหารจำเป็นที่สมองต้องการ

6. เลือกกินเมื่อรู้สึกหิว ถ้าคุณรู้สึกเพลียให้กินผลไม้หรืออาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชต่างๆ แทน การกินของขบเคี้ยวที่มีน้ำตาลจะทำให้คุณกระชุ่มกระชวยเพียงชั่ววูบแล้วก็จะหมดแรงลงอย่างรวดเร็ว ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงโซดาหรือน้ำหวานในช่วงบ่าย ของขบเคี้ยวแก้หิวเพื่อสุขภาพที่ขอแนะนำ เช่น คุกกี้ที่ผสมผลไม้ คุกกี้ผสมข้าวโอ๊ต องุ่นสักพวง โยเกิร์ต แครอท เซเลอรี ถั่วอัลมอนด์ เป็นต้น

7. หลับตาสักงีบ ถ้าคุณรู้สึกง่วงมากจริงๆ อย่างเลือกที่จะดื่มกาแฟ แต่ลองหลับตาหรืองีบสัก 10-15 นาที ก็จะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นมาก

8. อยู่ห่างๆ อาหารไขมันสูง เช่น ชีส เนย มาการีน ครีม อาหารทอดทั้งหลาย เพราะจะมีแคลอรี่สูง ร่างกายต้องใช้พลังงานเผาผลาญมาก และจะทำให้คุณรู้สึกเฉี่อยชา

9. ออกกำลังกาย เป็นทางที่ดีที่จะชาร์ตแบตเตอรี่คืนมาอีกครั้งให้ร่างกายตื่นตัว เมื่อรู้สึกเหนื่อยจนเอนเดอร์ฟินหลั่งในระดับสูง ก็จะช่วยให้อัตราการเผาผลาญของร่างกายมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งก็จะช่วยฟื้นพลังงานให้คุณ ลองง่ายๆ เดินรอบๆ สำนักงานสัก 10 นาที นั่งอยู่กับโต๊ะทำงานแล้วยืดกล้ามเนื้อ บิดบริหารร่างกายสักครู่ก็จะช่วยเพิ่มความตื่นตัวให้คุณได้พอควร

กินอย่างไร เมื่อเป็นโรคกระเพาะ

แต่ก่อนนี้ถ้าใครเป็นโรคกระเพาะถือว่าโชคร้ายเพราะ เป็นแล้วรักษาหายยาก แต่เมื่อรู้สาเหตุที่แท้จริงแล้วโรคกระเพาะรักษาไม่ยาก และปัจจุบันโรคกระเพาะสามารถรักษาให้หายได้ภายในเวลา 2-4 สัปดาห์ด้วยยาปฎิชีวนะและยาลดกรดเป็นหลัก
 
สาเหตุของโรคกระเพาะ

             ก่อนนี้ความเครียดกินอาหารผิดเวลาอยู่เป็นนิจและอาหารรสเผ็ดจัดจะถูกจัดเป็นสาเหตุสำคัญของโรคกระเพาะ แต่ปัจจุบันวงการแพทย์ปะจักษ์กันดีกว่าตัวสาเหตุที่แท้จริงคือเชื้อแบคทีเรีย ที่มีลักษณะเหมือนเกลียวจุกคอร์ก ชื่อว่าเฮลิโคแบคเตอร์ไพโลไร เรียกย่อๆว่าเอช.ไพโลไร (H.pylori)เป็นตัวที่ทำให้กระเพาะเป็นแผลอักเสบ

             นอกจากเชื้อแบคทีเรียที่ว่ายังมีสาเหตุรองอื่นๆของโรคกระเพาะ คือการใช้ยาแก้ปวดประเภทแอสไพริน หรือยาประเภทสเตียรอยด์ซึ่งใช้รักษาโรคข้ออักเสบหรือยาประเภทต้านการอักเสบ เรียกย่อๆว่า "เอ็นเสดส์" (NSAIDS) = Nonsteroidal anti-imflamatory) การใช้ยานี้เสมอๆอาจเพิ่มความเสี่ยงโรคกระเพาะในคนที่ติดเชื้อเอช.ไพโลไรได้ นอกจากนี้ผู้ที่สูบบุหรี่จัดก็จะเพิ่มความเสี่ยงโรคกระเพาะ เพราะสารนิโคตินในบุหรี่เพิ่มปริมาณกรดและความเข้มข้นของกรดในกระเพาะ และในคนที่เป็นโรคอยู่แล้ว แต่ไม่ยอมเลิกบุหรี่ก็จะทำให้การรักษาได้ผลน้อย

 
โภชนบำบัดสำหรับโรคกระเพาะ

สมัยก่อนเมื่อยังไม่ทราบสาเหตุของโรคกระเพาะอาหารที่ใช้รักษาโรคกระเพาะคือ ซิปปี้ไดเอ็ท (Sippy diet) ซึ่งใช้นมและอาหารประเภทครีมเป็นหลัก ซึ่งแพทย์สมัยนั้นเชื่อว่าจะช่วยเคลือบแผลในกระเพาะหรือลำไส้ แต่ปัจจุบันพบว่าอาหารดังกล่าวกลับทำให้อาการโรคกระเพาะแย่ลง เนื่องจากแคลเซียมในนมกระตุ้นการหลั่งของกรดทำให้แผลในกระเพาะหายช้าเข้าไปอีก

ปัจจุบันอาหารไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะช่วยรักษาโรคกระเพาะ แต่จะใช้ยาเป็นหลักอาหารจะเป็นปัจจัยเสริมที่ใช้รักษาร่วมกับยาเพื่อลดอาการ

หลักโภชนบำบัดในปัจจุบัน คือ การกินอาหารให้ครบทุกหมวดหมู่อย่างสมดุล เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน เพื่อช่วยรักษาเนื้อเยื่อแผลในกระเพาะให้หายเร็วขึ้น และเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นการหลั่งของกรดมากเกินไป มีปัจจัยหลายประการที่เกี่ยวข้องกับนิสัยการบริโภคที่ผู้มีปัญหาโรคกระเพาะต้องปรับเปลี่ยนดังนี้

กินอาหารเป็นเวลา กินน้อยๆวันละ4 ถึง 5 มื้อ ไม่กินจุบจิบโดยเฉพาะก่อนนอน เพราะทุกครั้งที่อาหารตกถึงท้องจะ กระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะ
ปริมาณอาหาร ไม่กินอิ่มมากเกินไป มิฉะนั้นจะมีกรดหลั่งออกมามากเกินควร
เลี่ยงการดื่มนมบ่อยๆ นอกจากนี้ ผู้ที่มีปัญหาการย่อยน้ำตาลในนม (แลคโตส) อาจเกิดอาการท้องอืด มีแก๊ส ปวดท้อง ท้องเสียได้เพราะระบบย่อยขาดเอ็นไซม์แลคเตสซึ่งใช้ย่อยน้ำตาลนม
ระวังการใช้เครื่องเทศรสเผ็ดจัด เช่น พริกต่างๆ กินเท่าที่ระบบย่อยของตัวเองจะรับได้โดยไม่เกิดอาการ ตัวคุณเองเท่านั้นที่จะบอกได้

กินอาหารที่มีกากใยสูง เช่นผัก ผลไม้ และธัญพืช โดยเฉพาะใยอาหารประเภทละลายน้ำ เช่น กล้วย มะละกอ แอปเปิล ซึ่งมีใยอาหารชนิดเพคตินมาก ช่วยป้องกันโรคกระเพาะและมะเร็งในกระเพาะอาหาร นักวิจัยพบว่าในกล้วยมีสารชนิดหนึ่งซึ่งช่วยกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลใน กระเพาะอาหารทำให้กระเพาะแข็งแรงขึ้น ทนต่อกรดได้ดี

กินผักใบเขียวจัดให้มากขึ้น เนื่องจากผักใบเขียวจัดมีวิตามินเคสูง ช่วยให้แผลในกระเพาะหายเร็วขึ้น ป้องกันเลือดออกในกระเพาะ ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหาร มีข้อมูลรายงานว่าผู้ที่มีโรคกระเพาะมักพบการขาดวิตามินเค ผักสีเขียวจัดบางชนิดเช่นบร็อคโคลี มีสารซัลโฟราเฟน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาปฏิชีวนะอ่อนๆ นักวิจัยพบว่าสารสะกัดซัลโฟราเฟน ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะเชื้อเอช.ไพโลไร และอาจป้องกันมะเร็งได้

ผักผลไม้ที่มีเบตาแคโรทีนสูง เช่น แครอท ฟักทอง ผักใบเขียวจัด แคนตาลูป ช่วยป้องกันเยื่อบุกระเพาะและลำไส้ เร่งให้แผลหายเร็วขึ้น การกินผักผลไม้ยังช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซี ซึ่งช่วยให้แผลในกระเพาะหายเร็วและป้องกันการติดเชื้อ

เลี่ยงกาแฟ รวมทั้งชนิดไม่มีคาเฟอีน เนื่องจากกาแฟกระตุ้นการหลั่งกรดและอาจทำ ให้อาหารไม่ย่อย ชาอาจจะพอรับได้สำหรับบางคนแต่ก็ยังมีส่วนกระตุ้นการหลั่งกรดอยู่ดี แม้จะน้อยกว่ากาแฟก็ตาม
เลี่ยงน้ำส้มน้ำมะนาว ถ้าทำให้ไม่สบายท้อง เนื่องจากกรดไหลย้อนกลับทางทำให้เกิดอาการแสบร้อนในลิ้นปี่ เลี่ยงอาหารทอด อาหารเค็มและน้ำอัดลม เลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่ร้อนจัด ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดอาการ ทำให้ไม่สบายท้องได้ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะเบียร์และไวน์ เพราะจะทำให้กระเพาะหลั่งกรดได้มากขึ้น งดบุหรี่ 

เคี้ยวช้าๆในเวลากินไม่เร่งรีบ

ควรสังเกตตัวเองว่าอาหารชนิดใดที่ก่อให้เกิดปัญหาในระบบย่อย เพราะการตอบสนองต่ออาหารในแต่ละคนไม่เหมือนกัน แม้แต่อาหารชนิดเดียวกันถ้ากินคนละเวลาร่างกายก็จะตอบสนองต่างกัน
หลีกเลี่ยงความเครียด ถึงแม้ความเครียดจะไม่ใช่สาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ แต่อาจเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้อาการโรคกระเพาะเลวร้ายลงไปอีกโดยทำให้หายช้า

ข้อควรระวัง ไม่ควรใช้ยาลดกรดมากเกินควร เนื่องจากกรดในกระเพาะจะช่วยในการย่อยและดูดซึมสารอาหารเช่นเพิ่มการดูดซึม ธาตุเหล็ก แคลเซียม วิดามินบี 12 ลดการเจริญของเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะ แบคทีเรียในอาหารเมื่อตกถึงกระเพาะจะถูกกรดทำลาย จึงช่วยป้องกันแบคทีเรียที่ก่อสารเกิดมะเร็ง การใช้ยาลดกรดมากจึงไม่ดีต่อระบบย่อย

สรุปแล้ว หลักใหญ่ก็คือการมีโภชนาการดี กินอาหารให้หลากหลาย เป็นเวลาสม่ำเสมอ ไม่เร่งรีบในการกิน ระวังอาหารที่กระตุ้นการหลั่งกรดมากเกินควร อย่าทำตัวเป็นคนช่างเครียด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินยาตามแพทย์สั่งโรคกระเพาะก็จะหายได้

10 ของใช้ใกล้ตัว น่ากลัวติดโรค

สุขภาพที่เจ็บป่วยอย่างไม่รู้สาเหตุ แท้ที่จริงไม่ต้องคิดหาคำตอบให้ยาก เพราะต้นตอกลับอยู่ที่ของใช้ใกล้ตัว  ที่ผู้ใช้ขาดการรักษาความสะอาด 

ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ ผู้อ่านรักษ์สุขภาพต้องลองอ่าน 10 ของใช้ติดตัว น่ากลัวติดโรค โดย นพ.กฤษดา  ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า เกิดเป็นคนแม้ไม่พ้นเชื้อแต่ก็พยายามช่วยลดมันลงได้แค่เพียงไม่มองข้าม “ของติดตัว” และ “ของใกล้ตัว” ที่น่ากลัวได้ตั้งแต่หัวจรดเท้าดังต่อไปนี้ครับ

เริ่มจาก "คอนแทคเลนส์"  ติดตัวติดที่ตา  ขออย่าใส่นอนข้ามคืนหรือแม้เป็นชนิดที่ใส่นอนได้ก็ไม่ควรอยู่ดีเพราะกระจกลูกตามีอาหารกินอยู่ทางเดียวคืออากาศ ด้วยมันปราศจากเส้นเลือดเลี้ยงจึงเป็นของที่ควรเปิดโล่งให้รับลมจะดีกว่าครับ

ต่อด้วย "หมวกกันน็อค" กับที่คาดผม  ของติดศีรษะที่นำสิวมาให้ได้ โดยเฉพาะในหมวกกันน็อค  ส่วนที่คาดผมหรือที่รัดผมนั้นจะทำให้ผมร่วงง่ายกลายเป็นคนผมบางไปโดยไม่รู้ตัว  ขอให้ใช้หมวกกันน็อคตากแดดบ้าง ส่วนที่รัดผมขอพักไว้เวลาวันหยุดบ้างก็ได้ครับ

รวมถึง "เหล็กดัดฟัน-ฟันปลอม"  ของที่ติดอยู่ในช่องปากเช่นนี้ดึงเข้าดึงออกแต่ละทีก็เหมือนเติมเชื้อใส่เข้าไป  เป็นของที่มีซอกมุม ทำความสะอาดยาก  หากไม่แน่ใจเสียแล้วก็จะทำให้เชื้อสะสมอยู่ที่เหงือกกลายเป็นโรคคลาสสิกอย่างรำมะนาดหรือปริทนต์ได้

"สร้อยคอ สร้อยแขน"  ของที่แสนใกล้ตัวและราคาแพงเช่นนี้ไม่ได้การันตีความไม่ป่วย  ด้วยสร้อยที่เป็นโลหะจำพวก “นิเกิล” และ “โรเดียม” มีโอกาสกระตุ้นภูมิได้ในผู้ที่ไวต่อมันกลายเป็นผื่นแดงมีอาการคัน  ส่วนในท่านที่ใส่สร้อยที่เป็นเชือกหรือวัสดุธรรมชาติก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อได้ดีตามเส้นใยที่ว่านั้นต้องระวังเชื้อรากันด้วย

มองข้ามไม่ได้ สำหรับ "กระเป๋าถือ"  ไม่ว่าจะสะพายไขว้หน้าราคาเรือนแสนหรือกระเป๋าสตางค์ใบจ้อยกะร่อยกะหริบก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อได้พอกัน  อย่าลืมว่ามันเป็นส่วนที่ต้องออกไปท่องโลกกว้างพร้อมกับตัวท่านทุกวัน แต่กลับไม่ค่อยได้อาบน้ำท่าทำความสะอาดเหมือนคน เพราะไม่อย่างนั้นหนังอาจเสื่อมเร็ว  ดังนั้นควรระวังเรื่องความชื้นและกระเป๋าที่มีซอกหลืบเยอะให้ดี

คนที่ใช้ "มืออนามัย"  แม้จะใส่เพื่อความสะอาดแต่ก็อาจป่วยได้โดยเฉพาะถุงมือยางที่เรียกว่า “ลาเท็กซ์” ทั้งในบุคคลากรแพทย์หรืออาชีพที่ต้องใส่ถุงมือทำงาน  จะมีอาการ “แพ้” ได้กลายเป็นตุ่มใสบ้างแดงบ้างแถมคันคะเยอ  หรือเผลอๆเหงื่อออกก็ได้เชื้อราแถมตามง่ามนิ้ว  พอถึงเวลาถอดถุงมือออกมาดูพุพองน่าสยองไป

หรือแม้แต่ "นาฬิกาข้อมือ"  ถือเป็นของติดตัวใส่กันตลอดทั้งในยามทำงาน,ออกกำลังกายหรือแม้ในเวลาอาบน้ำ  ทำให้ซอกนาฬิกาเป็นบ้านอันผาสุกของเชื้อโรคได้  จึงอยากขอให้พักข้อมือบ้าง โดยการถอดนาฬิกาในเวลานอนและอาบน้ำเพราะนั่นคือช่วงที่เชื้อจะสะสมได้มากที่สุด  รวมถึงแหวน,สร้อยและเครื่องประดับติดตัวอื่นด้วยนะครับ  จะได้ทำให้เวลานอนคือเวลาพักผ่อนปลอดพันธนาการที่แท้จริง

ของติดผิวที่สำคัญ อย่าง "ชั้นในและกางเกงเข้ารูป"  รัดจนหน้าตูบแถมยังทำให้เจ็บป่วยจากโรคอย่างกรดไหลย้อนในกรณีใส่เสื้อรัด  หรือกดเส้นประสาทจนหน้าขาชาอย่างกรณีใส่กางเกงขาเดฟรัดติ้วแล้วยังมีกระเป๋าสตางค์กดอีก  ส่วนในกรณีที่ร้อนจัดมีเหงื่อออก  เครื่องรัดกายที่แน่นตัวเช่นนี้จะเรียกทั้งเชื้อราผิวหนังแล้วยังตกขาวในสาวๆได้อีกด้วย

ไม่ติดอันดับคงไม่ได้ สำหรับ "รองเท้า"  เป็นแหล่งรวมดาวเชื้อโรคอย่างแท้จริงเพราะไปวิ่งไปเดินมาร้อยเอ็ดย่านน้ำแล้วพอถึงเวลากลับมาบ้านเหนื่อยก็ถอดทิ้งไว้เฉยๆรวมกันอยู่บนชั้นวาง  หรืออย่างชีวิตชาวคอนโดฯที่ต้องใช้ที่ร่วมกันอย่างประหยัดก็ทำให้ชั้นวางเกือกแออัดราวกับมหกรรมย่อมๆซึ่งทำให้ชั้นวางรองเท้ากลายเป็นสวนสัตว์รวมเชื้อไปอย่างน่าตกใจ

สุดท้าย "อะไหล่กายเทียม"  เช่น ข้อเข่าเทียม,ข้อสะโพกเทียม หรือหลอดลวดที่ไปถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจ ล้วนแต่เป็นของที่มีอายุ  แม้จะดูแลดีแค่ไหนก็ต้องมีวันเสื่อม  ซึ่งอนัตตาแห่งอะไหล่มนุษย์เหล่านี้สั้นกว่าอวัยวะที่เป็นของออริจินัลดั้งเดิมอยู่มาก  ด้วยว่าร่างกายจะสร้าง “ธาตุต้านของเทียม(Antibody)” ขึ้นมาทำให้เกิดปฏิกิริยาเสื่อมและเจ็บป่วยได้มากกว่าอวัยวะแท้ๆ  

นอกจากนั้นยังมีของใกล้ตัวที่ใช้เฉพาะกิจอีกเช่น แว่นตา,ยาดมและผ้าเช็ดหน้าที่พาเชื้อโรคเช่นตาเจ็บ,ตาแดงและโรคหวัดมาได้  จะเห็นว่าของติดตัวและใกล้ตัวที่ว่ามานี้ถ้าใช้ดีมันก็จะเป็นส่วนส่งเสริมเราแต่ถ้าเผลอไปเมื่อไรมันก็อาจกลายเป็นพันธนาการแห่งชีวิตและเป็นพิษต่อตัวเราได้  ไม่เกี่ยวว่าเป็นของแพงของถูกแต่อย่างใดเลยครับ  

ของใช้แต่ละชิ้น หากอยากให้อยู่กับเราไปนานๆ ไม่ชำรุดเสียหายง่ายๆ นอกจากจะใช้อย่างถนอมแล้ว การใส่ใจเรื่องความสะอาดก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยยืดอายุทั้งของที่ถูกใช้และคนที่ใช้ของเหล่านั้นด้วย.

เครียดลงกระเพาะ โรคฮิตของคนออฟฟิศ



สาเหตุสำคัญที่ทำให้คนในยุคนี้ ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหาร (โดยเฉพาะคนทำงานออฟฟิศซึ่งมักจะทำงานแข่งกับเวลา และทานอาหารไม่เป็นเวลา) กันมากขึ้น เกิดจากความเครียดที่สะสมในแต่ละวันนั่นเอง

 เครียดที่ใจ ทำไมเป็นแผลที่กระเพาะ 

 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคกระเพาะอาหาร กล่าวว่าความเครียดเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อาการโรคกระเพาะอาหารกำเริบ เพราะในขณะที่เราเครียด ระบบประสาทอัตโนมัติ จะไปกระตุ้นต่อมหมวกไตให้หลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนออกมา ในปริมาณมากกว่าปกติ ส่งผลให้ร่างกายมีการตื่นตัวตลอดเวลา และก็เป็นความเครียดอีกเช่นกัน ที่กระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งน้ำย่อยออกมามากกว่าปกติ จนเกิดอาการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร และลำไส้มีอาการหดตัวมากกว่าปกติ ซึ่งจะสร้างความเจ็บปวด รวมถึงทำให้ทรมานให้กับผู้ป่วยเป็นอย่างมาก

สังเกตความเครียด ก่อโรค

ในขณะที่เราเครียด ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น ปอดขยายตัวเพิ่มขึ้นสร้างออกซิเจนเข้าสู่กล้ามเนื้อและหัวใจ เราจึงหายใจเร็วขึ้น และรูจมูกขยาย เพื่อให้ช่องทางเดินหายใจกว้างขึ้น ต่อมเหงื่อทำงานหนักขึ้นเพื่อบรรเทาความร้อนในกล้ามเนื้อ ทำให้เส้นเลือดฝอยในชั้นใต้ผิวหนังหดตัว เกิดอาการขนลุก ต่อมไทรอยด์จะหลั่งฮอร์โมนเร่งปฏิกิริยาการเผาผลาญอาหารออกมามากขึ้น เพื่อเพิ่มพลังงาน การกระตุ้นอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ อาจนำไปสู่ปัญหาการนอนไม่หลับและอยากอาหารเพิ่มขึ้น

ความเครียดยังทำให้หัวใจเต้นแรงผิดปกติ หายใจถี่ขึ้น กล้ามเนื้อมีอาการเกร็ง ปากแห้ง และยิ่งไปกว่านั้น ความเครียดยังทำให้การทำงานของกระเพาะอาหาร และลำไส้หยุดชะงักลง เพื่อถนอมพลังงานสงผลให้ กรดในกระเพาะอาหารเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกิดอาหารปั่นป่วนในช่องท้อง และรู้สึกคลื่นไส้อาเจียน

นอกจากพฤติกรรมทางกายที่กล่าวมาแล้ว จิตใจก็มีส่วนสำคัญมากต่อการเกิดโรคกระเพาะอาหารผู้ที่สะสมความเครียดมานานเป็นเดือนเป็นปีจะยิ่งมีความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น ซึ่งเราสามารถสังเกตตัวเองได้ว่าเราเข้าข่ายเครียดจนใกล้จะเป็นโรคกระเพาะอาหารหรือยัง

หากรู้สึกเบื่ออาหาร กินไม่ได้ มีอาการมึนงง หงุดหงิด รำคาญใจอยู่บ่อยๆ อยากอยู่คนเดียว นอนไม่หลับ ท้องผูก ให้รู้ไว้เลยว่า คุณกำลังมีอาการเครียด ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า มีโอกาสป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารในเร็ววัน
อาการแบบไหนใช่โรคกระเพาะ

รู้สึกปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ มักปวดเวลาท้องว่าง และอาการปวดเหล่านี้จะลดลงหรือหายไป เมื่อเรารับประทานอาหาร 
มีอาการปวดหลัง หลังจากรับประทานอาหารไปแล้ว 2-3 ชั่วโมง จะมีอาการปวดหลังช่วงเวลาดังกล่าว เป็นเวลาที่กระเพาะอาหารของเราเริ่มย่อยอาหาร
รู้สึกแน่นท้อง ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว อาจเกิดจากการรีบกินอาหาร การกลืนอาหารเร็วเกินไป รวมไปถึงการดื่มน้ำมากขณะกินอาหาร ซึ่งส่งผลให้กระบวนการย่อยอาหารในกระเพาะแปรปรวน
รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน เสียดหน้าอก มักจะเกิดจากอาหารที่รับประทานเข้าไปไม่ย่อย

หากมีอาการปวดท้องรุนแรง ชนิดที่ว่าหายใจแรงก็ปวด ถ่ายท้อง อาเจียนหรืออุจาระออกมาเป็นเลือด และมีสีดำตลอดเวลา ให้รู้ไว้เลยว่า อาการอยู่ในขั้นอันตราย ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาเป็นการด่วน หากช้าเกินไป อาจเกิดอาการกระเพาะอาหารทะลุ หรือเลือดออกทางเดินอาหารได้

หลากวิธี หนีโรคกระเพาะอาหาร

กินอาหารให้ตรงเวลา และให้ครบ 3 มื้อ เป็นข้อปฏิบัติอย่างแรกที่ควรทำ เพราะจะช่วยให้กระเพาะอาหารเคยชินกับการย่อย และปล่อยน้ำย่อยออกมาในปริมาณที่พอดีทุกวัน

สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว ในระยะแรกให้ฝึกการกินอาหารให้ตรงเวลา อาจรู้สึกปวดท้องมาก ควรเริ่มจากการกินอาหารย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ทีละน้อยๆก่อน ทั้งนี้ควรงดอาหารที่มีรสจัด เช่น เปรี้ยวจัด เค็มจัด หวานจัด ของดอง และอาหารทอดทุกประเภท

เลิกสูบบุหรี่ และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด รวมทั้ง ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง และน้ำอัดลม เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กระเพาะอาหารอักเสบ และอาจทำให้โรคกระเพาะอาหารที่เป็นอยู่กำเริบหนักขึ้น

หยุดยาแอสไพริน ยาแก้ปวด และยาแก้อักเสบที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ เพราะยาจำพวกนี้จะมีฤทธิ์ไปกระตุ้นให้กระเพาะอาหารเกิดการอักเสบมากขึ้น ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาข้ออักเสบ ควรสอบถามเพื่อความมั่นใจจากแพทย์ก่อน

หากิจกรรมคลายเครียด สามารถทำได้หลายวิธี เป็นต้นว่า การออกกำลังกาย เช่น วิ่งเหยาะๆ เดินเร็ว ขี่จักรยาน รำมวย รำกระบอง เต้นแอโรบิก หรือทำสมาธิ อ่านหนังสือ เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ หากปฏิบัติเป็นประจำจะช่วยลดความเครียด และในระยะยาวยังสามารถรักษาโรคกระเพาะอาหารให้หายขาดได้ 

เทคนิคเก็บตกผิวเสีย หลังไดเอ็ต

ผิวหนังแบ่งออกเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นหนังกำพร้า ชั้นหนังแท้ ซึ่งมีเส้นใยอีลาสติน คอลลาเจน ที่ช่วยเพิ่มความยืดหนุ่นและความกระชับให้แก่ผิว และชั้นสุดท้ายคือชั้นใต้ผิวหนังซึ่งมีไขมันเป็นส่วนประกอบอยู่ เมื่อมีน้ำหนักตัวมากขึ้น เซลล์ไขมันในชั้นใต้ผิวหนังจะยืดขยาย ทำให้เส้นใยอีลาสตินในชั้นหนังแท้ต้องขยายตาม และหากอ้วนนานเส้นใยอีลาสตินก็จะยืดตัวถาวร ส่วนคอลลาเจนจะเรียงตัวผิดปกติจากเดิมทำให้เกิดรอยแตกลาย ด้วยเหตุนี้หากคุณลดน้ำหนักมากๆ ในระยะเวลาอันสั้น คือ เกินกว่า 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ อาจทำให้เกิดผิวหย่อนคล้อยเพราะผิวที่เคยยืดขยายหดตัวอย่างรวดเร็ว 

หลังลดน้ำหนักผิวของคุณจะหย่อนคล้อยมากน้อยเพียงใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวที่ลดลงและอายุด้วย ในกรณีที่คุณยังอายุน้อยและลดน้ำหนักตัวมาก ผิวของคุณอาจหย่อนคล้อย แต่จะน้อยกว่าและฟื้นฟูสภาพผิวได้เร็วกว่าคนที่อายุมาก เพราะอายุที่มากขึ้นเป็นตัวแปรของปริมาณเส้นใยอีลาสตินและคอลลาเจนของผิวหนังที่น้อยลงเรื่อยๆ 

ผอมแบบไม่ทำร้ายผิว 

   ปัจจุบันมีวิธีการลดความอ้วนที่นิยมทำและส่งผลเสียต่อผิว เช่น กินยาลดความอ้วน การอดอาหาร และการตบสลายไขมัน การอดอาหารทำให้ระบบร่างกายเสียสมดุล เพราะไปลดปริมาณน้ำตาลในเลือดลง ส่วนการตบสลายไขมันที่ใช้ครีมและความร้อนจะมีผลต่อปริมาณน้ำในผิว ทำให้ผิวแห้ง เหี่ยว และในความเป็นจริงไขมันอยู่ลึกมาก การตบสลายไขมันนั้นนอกจากจะไม่สามารถกำจัดไขมันได้แล้ว ยังส่งผลให้ผิวชั้นหนังแท้และหนังกำพร้าช้ำอีกด้วย 

   การลดความอ้วนที่ไม่ส่งผลเสียต่อผิวนั้นน้ำหนักตัวจะต้องลดลงไม่เกิน 0.5-1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ และลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี คือ ลดน้ำหนักโดยการเผาผลาญไขมันในชั้นผิวหนัง ไม่ใช่การลดน้ำหรืออาหารซึ่งอย่างหลังจะกระทบต่อปริมาณน้ำตาลภายในเลือดด้วย 

   วิธีการลดน้ำหนักที่ดีที่สุด คือ การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ งดแป้ง ไขมัน และออกกำลังกายร่วมด้วย โดยเฉพาะแอโรบิก วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เพราะการออกกำลังกายเหล่านี้ช่วยให้เผาผลาญไขมันใต้ผิวหนังทั่วร่างกาย ส่วนการออกกำลังกายเฉพาะส่วนนั้นจะไปช่วยเผาผลาญไขมันในกล้ามเนื้อ 

วิธีแก้ “หย่อน ยาน ย้วย” 

   การฟื้นฟูผิวให้กลับกระชับดังเดิมจะได้ผลแค่ไหนขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่คุณปล่อยให้ผิวเสียด้วย ตัวอย่างเช่น ผิวเปลือกส้มหรือเซลลูไลท์ที่เกิดจากการหดตัวอย่างรวดเร็วของผิวหนัง หากทิ้งไว้นานเกินไปก็อาจหมดสิทธิ์รักษา ถ้าเป็นระยะเริ่มต้น แก้ได้ง่ายๆ ด้วยการออกกำลังกายประเภทแอโรบิก เพื่อกระตุ้นการเผาผลาญไขมันใต้ผิวหนัง และเลือกรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี อี โคเอนไซม์คิวเทน และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยบำรุงผิวให้แข็งแรง ดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้นมีความยืดหยุ่นดีขึ้น ช่วยให้ระบบการไหลเวียนเลือดดี และลดปัญหาเซลลูไลท์ได้ 

   หากผิวยากจะฟื้นฟูและทำแล้วไม่เห็นผลอาจต้องใช้เครื่องมือทางการแพทย์ที่รักษาได้ลึกถึงชั้นไขมัน โดยใช้ความร้อนไปจัดการก้อนไขมันให้แตกตัว เช่น ทำเลเซอร์ การใช้คลื่นความถี่วิทยุแบบขั้วเดียว ส่วนการทำคาร์บ็อกซี่จะช่วยในเรื่องเซลลูไลต์ โดยคาร์บอนไดออกไซด์ที่เข้าไปใต้ผิวหนังจะจับตัวกับน้ำเกิดเป็นกรดคาร์บอนิกที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัว ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ลดเซลลูไลต์ แต่ต้องทำหลายครั้งจึงจะเห็นผล 

   นอกจากการกินอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบำรุงผิวแล้ว อาจจะหยิบจับผลไม้ใกล้มือ อย่าง ส้มเขียวหวานและองุ่น มาเพิ่มความกระชับให้ผิว 

10 วิธีง่ายๆ ช่วยคลายเครียด

รอบตัวก่อให้เกิด "ความเครียด" จนทำให้คนไทยมีปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้น จากตัวเลขของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ระบุว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยทางจิตกว่า 12 ล้านคน ซึ่งรายงานจากสำมโน-ประชากร เมื่อเดือนธันวาคม 2552 ประเทศไทยมีจำนวน ประชากร 63 ล้านคน แสดงว่าคนไทย 1 ใน 5 ป่วยทางจิตและมีจำนวนกว่าแสนรายที่ต้องเข้ารับการรักษาความเครียดส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไรนั้น นพ.วิโรจน์ ตระการวิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายแพทย์ โรงพยาบาลนครธน ได้อธิบายว่า เมื่อจิตของคนเราถูกกระทบด้วยสภาพอารมณ์ต่างๆ  ไม่ว่าจะดีใจ  เสียใจ  ตื่นกลัว หรือเบิกบาน จะส่งกระแสจิตไปยังสมอง ทำให้เราตกอยู่ ในห้วงอารมณ์นั้นๆ และสมองจะหลั่งสารเคมีออกมาในร่างกาย ในแต่ละวันคนเราต้องเผชิญกับอารมณ์หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกเชิงลบต่างๆ ความวิตกกังวล ความหวาดระแวง  อารมณ์เหล่านี้จะฝังลึกอยู่ในจิตสำนึกและคอยรบกวนเราอยู่เสมอ ความกดดันทางจิตใจนี้เองจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพ ทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกาย ลดต่ำลง ระบบการทำงานของอวัยวะแปรปรวน จนไม่ สามารถต้านทานเชื้อโรคร้ายต่างๆ และยังเป็นสาเหตุสำคัญก่อให้เกิดเซลล์มะเร็งแพร่กระจายสู่โรคมะเร็งร้ายในที่สุด

สำหรับวิธีหรือเครื่องมือที่จะช่วยในการผ่อนคลายความตึงเครียดได้นั้น สามารถทำได้โดยวิธีง่ายๆ 10 วิธี ได้แก่

 1.  การใช้ชีวิตให้ช้าลง ความเร่งรีบของชีวิตเป็นสาเหตุ ใหญ่ของความเครียดในปัจจุบัน ถ้าสามารถวางแผนตารางชีวิตได้ เหมาะสม ความเร่งรีบและความเครียดจะลดลงตามไปด้วย
 2. ออกกำลังกายแบบแอโรบิกเป็นประจำ เช่น เดินเร็ววิ่งเหยาะปั่นจักรยานว่ายน้ำ จะช่วยเพิ่มปริมาณเลือดไปเลี้ยงสมอง สมองจะหลั่งฮอร์โมนความสุข ให้จิตใจโปร่งเบา และสบาย 
3. เข้านอนหัวค่ำตื่นแต่เช้าจะส่งผลให้จิตใจและสมองสดชื่นแจ่มใส 
4. ฝึกหายใจลึกและช้า อัตราการหายใจไม่เกิน 10  ครั้งต่อนาที  จะช่วยจิตผ่อนคลายได้มาก
5. ฝึกชี่กง ไทเก็ก โยคะ จิตใจจะจับจ้องจดจ่อสอดคล้องกับช่วงจังหวะการหายใจ ทำให้จิตใจสงบนิ่ง 
6. ฝึกยิ้ม หัวเราะ การมีอารมณ์ขันจะช่วยให้เรามีอารมณ์ดี 
7. ฝึกสมาธิช่วย ให้จิตสงบ คลื่นสมองจะช้าลงและมีระเบียบมากขึ้น
8. การใช้ศิลปะบำบัด เช่น ร้องเพลงเล่นดนตรี ฯลฯ ทำให้่จิตใจผ่อนคลาย 
9. รับพลังธรรมชาติ ไปสัมผัสแสงแดดและธรรมชาติ เติมพลังทั้งใจและกาย วิธีสุดท้ายที่
10. สวดมนต์ อธิษฐานจิต จะเป็นพลังจิตที่ช่วยให้เราสงบ เย็น และเป็นสุข.

เคล็ดลับของสาว ๆ ที่อยากมีสะโพกสวย

ลองทำตามขั้นตอนง่าย  ต่อไปนี้ แล้วคุณจะมีบั้นท้ายที่กลมกลึง

วิธีแรก ควรหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการเต้นแอโรบิคการวิ่ง ปั่นจักรยาน การบริหารเฉพาะส่วน ฯลฯ เป็นวิธีที่ช่วยให้สะโพกสวย แน่น และกระชับมากขึ้น คนอ้วน หรือผอมก็สามารถใช้วิธีนี้ได้

วิธีที่สอง ควบคุมอาหาร แต่ไม่ใช่อดอาหารนะคะ เลือกรับประทานอาหารที่มีคุณประโยชน์มากกว่ารับประทานตามใจปาก ควรทานให้ครบทั้ง 3 มื้อ และหยุดทันทีถ้ารู้สึกอิ่ม ลดอาหารจำพวกที่ให้พลังงานสูง และอาหารรสจัด หวานจัด มันจัด ควรดื่มนมที่พร่องมันเนย ของขบเคี้ยว ให้เลือกทานประเภทพืชเปลือกแข็งแทน เช่น ถั่ว เม็ดแตงโม ฯลฯ

วิธีที่สาม การนวด การนวดมีประโยชน์มากกับขาช่วงต้นขาด้านบน ด้านหน้าและหลัง โดยเฉพาะช่วงต่อจากก้นลงมา เพราะถ้าบริเวณนี้มีไขมันมากจะทำให้สะโพกห้อยและย้อยได้ นอกจากนี้การนวดยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต รวมทั้งกำจัดของเสียและไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังด้วย

ข้อแนะนำสำหรับการนวดที่ดี คือ ให้ใช้ครีมที่ใช้ขจัดไขมันใต้ผิวหนัง โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการนวด ควรเป็นตอนก่อนนอน หลังอาบน้ำในตอนเช้า หรือก่อนทานอาหารหนึ่งชั่วโมง ควรใช้ครีมนวดติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ ถ้าใช้  หยุด  จะไม่เห็นผล และหยุดใช้ครีมนวดทันทีถ้าเกิดอาการแพ้

วิธีที่สี่ การขัดผิว จะช่วยในเรื่องของการแตกลาย จุดด่างดำ ผดผื่นแดง และรอยหยาบกร้านให้หมดไป คุณสามารถขัดผิวได้ด้วยตัวเองโดยใช้น้ำมันขัดผิวที่ทำขึ้นเองแบบง่าย  และประหยัด โดยนำเกลือเม็ดใส่ลงในขวด กะปริมาณตามที่ต้องการใช้ จากนั้นเติมน้ำมันมะกอกลงไป สังเกตุให้เกลือดูดซึมน้ำมันจนหมดอย่าให้แห้ง หรือเปียกเกินไป เติมน้ำหอมกลิ่นที่คุณชอบลงไปสัก 2-3 หยด จะช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นในขณะที่ขัดผิวให้ขัดเป็นวงกลมในบริเวณที่เกิดรอยหยาบกร้าน

วิธีสุดท้าย การเสริมแต่งด้วยชุดชั้นใน เป็นวิธีที่กำลังมาแรงและง่ายที่สุด ผู้หญิงยุคใหม่ที่อยากมีสะโพกสวยมักหันไปพึ่งชุดชั้นใน (INNERWEAR) แทน เพื่อช่วยเสริมบุคลิกภาพที่ดีแก่ผู้สวมใส่ จะช่วยจัดทรงให้แก่ผู้สวมใส่ เน้นรูปร่างสัดส่วนมากขึ้น ไม่ว่าหน้าอก เอว หน้าท้อง สะโพก

บทความสุขภาพที่เีกี่ยวข้อง