6 วิธี “นวดตัวเอง” แก้ปวดคอจากการตกหมอน

เมื่อท่านมีปัญหาปวดคอจากการตกหมอน ให้ เริ่มต้น ด้วยการใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างถูไปมาที่บริเวณต้นคอจนกระทั่งเกิดความรู้สึก ร้อน เพื่อกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อต้นคอ และทำให้การไหลเวียนของโลหิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 แก้ปวดคอจากการตกหมอน
จากนั้นวิธีที่สอง ประสานมือเข้าหากันที่บริเวณต้นคอ แล้วขยับแขนทั้งสองข้างเข้าหากันเพื่อบีบฝ่ามือไปตรงจุดต่างๆ ที่มีปัญหา จะเป็นตรงกลางหรือด้านข้างก็สุดแล้วแต่ว่าจะมีปัญหาหรือไม่ บีบและคลายออกต่อเนื่องเป็นระยะๆ ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้ว วิธีการแบบนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เฉพาะเมื่อมีปัญหาปวดคอแต่อย่างใด หากแต่สามารถใช้วิธีนี้นวดเพื่อบริหารกล้ามเนื้อเป็นประจำทุกวันก็ได้

วิธีที่สาม เป็นการกดจุดสำคัญที่บริเวณท้ายทอย โดยใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้กดลงไปที่ “จุดฟงฉือ” ที่อยู่สองข้างของต้นคอ ซึ่งจุดนี้สังเกตง่ายๆ คือจะอยู่ตรงบริเวณรอยเชื่อมต่อระหว่างศีรษะกับต้นคอด้านบน กดแล้วผ่อน กดแล้วผ่อนต่อเนื่องประมาณสัก 1 นาที

อย่างไรก็ตามนอก จากจุดฟงฉือแล้ว ยังสามารถใช้นิ้วมือกดลงไปตรงจุดที่มีปัญหาหรือจุดที่สร้างความเจ็บปวดให้ กับเราได้อีกด้วยโดยไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด

วิธีที่สี่ ให้ใช้มือขวาไปจับที่เส้นกล้ามเนื้อบริเวณหัวไหล่ด้านซ้าย นวดไปตรงเส้นที่เชื่อมต่อจากลำคอต่อเนื่องมาถึงหัวไหล่ ใช้แรงบีบลงไป เสร็จแล้วให้ใช้มือซ้ายไปจับที่เส้นกล้ามเนื้อบริเวณหัวไหล่ขวา นวดสลับสับเปลี่ยนกันไปเพื่อทำให้เลือดลมไหลเวียนได้สะดวก

วิธีที่ห้า ใช้ฝ่ามือถูต้นคอเพื่อให้เกิดความอุ่นร้อนอีกครั้ง ซึ่งถ้าจะให้ดีก็สามารถทายาหม่องสมุนไพรลงไปด้วยก็ได้ เพราะนอกจากจะช่วยบำบัดอาการปวดคอแล้ว ยังสามารถลดการระคายเคืองจากการนวดได้อีกด้วย

และสุดท้าย วิธีที่หก ใช้หัวแม่มือกดที่ “จุดลั่วเจิ่ง” ซึ่งอยู่ตรงร่องกลางของต้นคอจากนั้นให้หมุนคอเป็นวงกลมจากซ้ายไปขวา โดยเมื่อกดลงไปแล้วจะรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้น แต่ถ้ากดแล้วเจ็บก็ต้องผ่อนแรงลงมา

เป็นไงครับ สำหรับ 6 วิธีง่ายๆ ในการนวดตัวเองเพื่อแก้อาการปวดคอจากการตกหมอน ไม่ยากใช่ไหมครับ ซึ่งถ้าหากทำตามหลักที่แนะนำไปทั้งหมด ก็จะสามารถช่วยในเรื่องนี้ หรือในรายที่ยังไม่ปวดคอ ก็สามารถนวดบริหารตามวิธีทั้ง 6 ก็ได้ ไม่ผิดกติกาประการใด

อย่างไรก็ตาม ก่อนจากกันในสัปดาห์นี้ หมออยากฝากแง่คิดหรือคำแนะนำเพิ่มเติมเพื่อ “ป้องกัน” อาการปวดคอที่อาจจะเกิดขึ้นกับทุกคนได้สักนิด เพราะถ้าหากเราดูแลรักษาคอของเราให้ดีแล้ว ปัญหาก็อาจจะไม่เกิดขึ้น หรือถ้าเกิดขึ้นก็ไม่รุนแรงอะไร

ข้อควรจำประการแรกคือ ต้องหมั่นบริหารคอเป็นประจำเพื่อให้คอเกิดความแข็งแรง ขณะเดียวกันต้องจำให้ขึ้นใจด้วยว่า เวลานอน อย่านอนหมอนที่สูงเกินไป แข็งเกินไป รวมทั้งเวลานอน ไม่ว่าจะนอนหงาย นอนคว่ำ หรือนอนตะแคง ต้องให้ศีรษะมีความสมดุล ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง

สำหรับในรายที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ ไปในประเทศที่มีอากาศเย็น เวลานอนต้องพยายามห่มผ้าให้ถึงบริเวณต้นคอด้วย ไม่เช่นนั้นแล้ว ความเย็นอาจแทรกซึมเข้ามาทำร้ายต้นคอและทำให้เกิดการปวดคอได้

แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ เมื่อเกิดอาการปวดคอขึ้นมาอย่าปล่อยปละละเลย ต้องรีบหาทางรักษาตัวเองเบื้องต้น และถ้าไม่หายต้องรีบไปพบหมอในทันที….

การนอนกับอาการปวดหลัง

การนอนกับอาการปวดหลัง
ท่านอน ถือเป็นท่าที่หมอนรองกระดูกสันหลังรับแรงน้อยที่สุด ดังนั้นท่านอนจึงเป็นท่าพักผ่อนที่ดีที่สุด บางคนเมื่อศีรษะถึงหมอนก็หลับสบายจนถึงเช้า อาจไม่สนใจว่าตนเองจะนอนท่าไหน รู้ตัวอีกทีตื่นมาตอนเช้าพบว่าเกิดอาการปวดหลัง หรือหันหน้าซ้ายขวาไม่ได้เลย จนต้องรีบไปหาหมอ
การนอนกับอาการปวดหลัง
ท่านอนของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป บางคนชอบนอนหงาย บางคนก็ชอบนอนตะแคง หรือบางท่านอาจชอบนอนคว่ำก็มี เราลองมาดูกันว่าท่านอนแต่ละท่านั้น มีความแตกต่างกันอย่างไร และควรนอนในแต่ละท่าอย่างไรให้ถูกต้อง

 ท่านอนหงาย โดยมีหมอนหนุนใต้ข้อเข่า ให้ข้อสะโพกงอเล็กน้อย ท่านี้ถือว่าเป็นท่านอนที่เหมาะ หรือเป็นท่าที่ลดแรงกดของหลังได้ดี ส่วนที่ศีรษะควรมีหมอนเตี้ยๆ นุ่มๆ หนุนให้รู้สึกสบาย
 ท่านอนตะแคง เป็นท่าที่ดีอีกท่าหนึ่ง โดยเฉพาะหากได้งอเข่าข้างหนึ่ง และมีหมอนข้างกอดไว้ หรือจะงอเข่าทั้งสองข้างในท่าคู้ตัวก็ได้ สำหรับหมอนที่ใช้หนุนในท่านี้ควรมีความหนามากพอที่จะให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียว กันกับลำตัว หากใช้หมอนเตี้ยเกินไป ศีรษะจะเอียงลงหรือหาหมอนที่มีความสูงเท่าหรือใกล้เคียงกับระยะจากระดับด้าน ข้างของศีรษะไปถึงแนวระดับไหล่ เมื่อหนุนแล้ว จึงทำให้แนวของกระดูกสันหลังส่วนคออยู่ในแนวเดียวกับกระดูกสันหลังส่วนอกและ ส่วนเอว
 ท่านอนคว่ำ ถือว่าเป็นท่าที่ไม่ดี เพราะการนอนคว่ำนั้นจะทำให้กระดูกสันหลังส่วนเอวโค้งไปทางด้านหน้ามากขึ้น นอกจากนี้ เวลาเรานอนคว่ำก็ต้องตะแคงหน้าไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งจะทำให้กระดูกต้นคอบิดไปด้วย
นอก จากเรื่องของท่านอนที่เป็นสาเหตุของอาการปวดหลังแล้ว องค์ประกอบอื่นๆ อย่างหมอนหรือที่นอนก็มีส่วนสำคัญต่อสุขภาพหลังของคนเราด้วยเช่นกัน
 หมอนที่ใช้หนุนคอ ถือว่ามีส่วนช่วยรองรับกระดูกสันหลังส่วนคอให้อยู่ในแนวโค้งที่ปกติ เพราะในขณะที่หลับ กล้ามเนื้อรอบๆ คอจะคลายตัว หากคออยู่ในท่าที่ไม่ดี ตื่นมาอาจปวดคอหรือคอแข็งได้ ดังนั้น หมอนที่ใช้ควรมีความนุ่มและขนาดพอดี โดย ทั่วไปหมอนมาตรฐานควรมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 นิ้ว แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นคนคอสั้นหรือคอยาว เพราะถ้าคุณเป็นคนคอยาวมากไป การใช้หมอนมาตรฐานก็จะทำให้ศีรษะอยู่ในท่าที่แหงนมากเกินไป
มีผู้ป่วยไม่น้อยที่มาพบแพทย์ด้วยเรื่องปวดต้นคอ หรือคอแข็งโดยไม่คิดว่าสาเหตุเกิดจากหมอนที่ตนเองใช้อยู่ แต่ การที่จะบอกว่าหมอนแบบไหน หรือใบใดที่จะเหมาะกับใครนั้น เห็นทีจะยากสักหน่อย แต่ก็มีหลักง่ายๆ คือ เมื่อคุณหนุนหมอนใบนั้นแล้วรู้สึกสบายคอ หรือตื่นมาแล้วไม่มีอาการปวดเมื่อยต้นคอให้เป็นที่รำคาญใจ ก็ถือว่าเพียงพอ และไม่จำเป็นว่าต้องมีราคาแพงเสมอไปนะครับ หมอนราคาถูกๆ แต่เป็นขนาดที่เหมาะกับคุณ ก็จะสามารถรองรับศีรษะและกระดูกสันหลังส่วนคอให้กับคุณได้ดีทีเดียว
 ที่นอน สำหรับที่นอนที่ยัดด้วยนุ่น ที่คนไทยเราใช้กันอยู่นั้น เป็นที่นอนที่เหมาะอยู่แล้ว เพราะไม่แข็งหรือนุ่มจนเกินไป แต่ สำหรับที่นอนฟองน้ำที่ใช้กับเตียงสปริง ถือว่าเป็นที่นอนที่ไม่เหมาะกับสุขภาพหลัง หรือสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลัง เพราะมีความนุ่มหรืออ่อนตัวมากเกินไป ทำให้กระดูกสันหลังอยู่ในแนวที่ผิดปกติ
บางคนเข้าใจผิดว่า การนอนที่นอนแข็งๆ เช่น บนไม้กระดาน, เสื่อ หรือนอนกับพื้น จะช่วยลดอาการปวดหลังได้ จริงๆ แล้วไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ ที่นอนที่ถูกควรมีลักษณะที่เรียกว่าแน่น หรือเป็นที่นอนที่ยัดนุ่น ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
เหล่านี้เป็นเพียงองค์ประกอบในการนอน ที่จะช่วยป้องกันและรักษาอาการปวดหลังแต่ถ้าหากสาเหตุการปวดหลังของคุณเกิด จากอุบัติเหตุหรือเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ หรือแม้กระทั่งจากความเครียด คุณก็คงต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและให้การรักษาที่ถูกต้องต่อไป

ที่มา:hilight.kapook.com

7 วิธีลดอาการปวดหลัง ให้หนุ่มและสาวออฟฟิศ

7 วิธีลดอาการปวดหลัง ให้หนุ่มและสาวออฟฟิศ ทำได้ครบ 7 ข้อเมื่อไหร่ อาการปวดหลังจะค่อยๆ ห่างหายไปเอง


ช่วงนี้มีความรู้สึกว่าปวดเมื่อยเนื้อตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ เลยลอง เข้าไปหาวิธีต่างๆทางอินเตอร์เน็ตเพื่อรักษาตัวเองแบบเบื้องต้นดู จึงได้พบวิธีการรักษาอาการปวดหลังที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกๆ คน โดยเฉพาะหนุ่ม สาวออฟฟิศที่ต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ จะมักพบอาการเหล่านี้มากเป็นพิเศษ เลยอยากนำมาเล่าสู่กันฟัง วิธีง่ายๆเพื่อสุขภาพค่ะ

ดร.โอ๊ต บูรณะสมบัติ นายกสมาคมการแพทย์ไคโรแพรกติกแห่งประเทศไทย เผยว่าตอน นี้โรคปวดหลังกลายเป็นโรคฮิตของคนเมืองที่ ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันเพราะต้องนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่หน้าจอ คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ส่งผลให้คนกรุงวันนี้มีปัญหาเรื่องกระดูกสันหลังมากขึ้น ในอเมริกาสถิติการบาดเจ็บจากอาการปวดหลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นหนึ่งในสาเหตุใหญ่ที่คนอเมริกันส่วนใหญ่นำไปใช้เพื่อ ขอลาป่วยมากขึ้นเป็นอันดับสองรองจากโรคหวัด
การนั่งอยู่ในรถนานๆ ขณะรถติด หรือต้องขับรถไปธุระไกลๆ เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้โรคปวดหลังระบาดหนักในกลุ่มคนเมือง คนไข้กว่า 90 % ที่มารับการรักษามีปัญหาจากการปวดหลัง โดยมีสาเหตุต่างๆ กัน เช่น การนั่งทำงานผิดท่าทาง อุบัติเหตุจากการเล่นกีฬาไม่ถูกท่าทาง
นอกจากนี้ ชีวิตประจำวันของหนุ่มสาวออฟฟิศ ที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลายาวนาน ซึ่งเป็นท่าทางของร่างกายที่ต้องใช้หลังมากขึ้นกว่าเดิมและการให้เวลากับการ ออกกำลังกายน้อยลง รวมถึงการดูแลสุขภาพน้อยเกินไป ล้วนเป็นสาเหตุทำให้เกิดการปวดหลังเรื้อรังได้ ดร.โอ๊คกล่าว
วิธีการลดปัญหาเรื่องปวดหลังของคนทำงานออฟฟิศ ทำได้โดย
1. ควรเลือกขนาดของโต๊ะเก้าอี้ให้เหมาะสม และพอดีกับสรีระ
2.ไม่ควรใช้เก้าอี้สปริงที่เอนได้ เก้าอี้แบบนี้ไม่ได้มีการรองรับหลังเท่าที่ควร ควรเลือกเก้าอี้ที่สามารถเอนได้ ความสูงของเก้าอี้และโต๊ะต้องได้ระดับกัน
3. คอมพิวเตอร์ ที่ใช้ต้องมีการปรับจอให้อยู่ในระดับสายตา คือกึ่งกลางของจออยู่ที่ระดับสายตาของเรา การพิมพ์งาน แป้นคีย์บอร์ดควรอยู่ในระดับข้อศอก ข้อมือ จะได้ไม่ต้องยกแขนขึ้นมาพิมพ์
4. การใช้เม้าท์ ถ้าต้องใช้งานมาก ควรจะเป็นเม้าท์แบบ “แทรกกิ้งบอล” หรือไร้สาย ที่สามารถนำมาใกล้ตัวได้และสามารถใช้ได้ถนัดโดยไม่ต้องยื่นแขนออกไป
5.ไม่ควรนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานมากไป ควรจะเบรกทุก ชั่วโมง หรือ 45 นาทีเพื่อพักผ่อนอิริยาบถ
6. ควรนั่งเก้าอี้ให้เต็มก้น ซึ่งสาวออฟฟิศส่วนใหญ่ชอบนั่งแค่ครึ่งหรือปลายเก้าอี้
7.ควร ออกกำลังกายหรือบริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอ วิธีง่ายๆ ก็คือการบีบนวดต้นคอ ยืดกล้ามเนื้อคอ หรือเอียงซ้าย-ขวา ก้มและเงยหน้า ฯลฯ แต่ละท่าควรทำค้างไว้สัก 10 วินาที เพื่อให้กล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นยืดตัวได้
ทำได้ครบ ข้อเมื่อไหร่ อาการปวดหลังจะค่อยๆ ห่างหายไปเอง

บทความจาก www.nongmaiclub.com

วิธีลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้า

ใครที่เป็นแผลขรุขระบนใบหน้า และอยากลดรอยแผล วันนี้เรามีวิธีมาบอก…

วิธีลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้า
1. การใช้ยาทา แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาทา ในกรณีที่เป็นไม่มากนัก หรือใช้ร่วมกับวิธีอื่น ๆ ยาที่ใช้มักเป็นยาในกลุ่มวิตามิน A โดยตัวยาจะไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้รอยแผลตื้นขึ้น
2. การจี้ด้วยน้ำยา TCA เพื่อกระตุ้นในรอยแผลมีการสร้างเซลล์ หลังการจี้จะเกิดสะเก็ดดำ ๆ อยู่ประมาณสัปดาห์ แล้วจึงหลุดไปเอง แต่ว่าห้ามแกะเด็ดขาด
3. การรักษาด้วย ไอออนโต (IONTO) เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าขับตัวยา ซึ่งนิยมใช้ คือกลุ่มวิตามิน A เข้าไปในผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ เพื่อให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น
4. การรักษาด้วย โฟโน (PHONO) เป็นการใช้คลื่นเสียงขับยาเข้าไปในผิวหนัง โดยใช้ยาในกลุ่มวิตามิน A บำรุงและสร้างใยคอลลาเจน
5. การรักษาด้วยวิธี MD (MICRODERMABRASION) เป็นการผลัดผิวใหม่โดยใช้เครื่องมือพ่นผงคริสตัลลงไปยังผิวหน้า เพื่อขัดผิว ส่วนคราบไคล และหนังกำพร้าชั้นบนออกไป แล้วจึงใช้ตัวยาเร่งการสร้างเซลล์ใหม่ ขึ้นมาทดแทน ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น
6. การรักษาด้วยวิธีการกรอแผลโดยใช้เครื่องเลเซอร์ ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น แต่ต้องใช้เวลาในการรักษาแผลค่อยข้างนาน
7. การฉีดสารสังเคราะห์โดยแพทย์ จะฉีดสารสังเคราะห์ เช่น อาติคอล หรือสาร HA เข้าไปในรอยแผล เพื่อให้รอยแผลเต็มขึ้น
เพียงเท่านี้ก็ลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้าได้แล้ว.
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

สระ - เซ็ตผมอย่างไร ให้เปล่งประกายถึงขีดสุด

สาว ๆ ที่เกิดมาพร้อมกับผมสุขภาพดีที่พลิ้วสลวย และเป็นประกาย นับว่าโชคดีมาก ๆ คุณมีผมแบบที่ผู้หญิงคนไหน ๆ ก็อิจฉา แต่ใครที่ผมไม่สวยอย่างที่ว่าก็ใช่ว่าจะเกิดมาอาภัพเสียเมื่อไหร่ ในเมื่อตอนนี้มีเรามีตัวช่วยทั้งอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ทำผมต่าง ๆ ที่จะทำให้ผมของคุณสามารถเปล่งประกายได้อย่างเต็มที่ แต่ทั้งนี้ก็ต้องรู้เคล็ดลับและวิธีใช้กันสักหน่อย   


  ขั้นตอนที่ 1 : สระผม

          เริ่มต้นกันด้วยการสระผม ที่ต้องเลือกใช้แชมพูให้ถูกสูตร ชมพูสูตรเพิ่มประกายความเงางามมีวางขายอยู่มากมาย แต่เพื่อความเงางามอย่างสุขภาพดี คุณก็ต้องเพิ่มความชุ่มชื้นไปพร้อม ๆ กันด้วย การสระผมแล้วนวดผมทิ้งไว้ระหว่างอาบน้ำ ก่อนจะล้างออกเมื่ออาบน้ำเสร็จ จะทำให้เส้นผมคุณได้รับการบำรุงพร้อมทั้งความชุ่มชื้น และความเป็นประกายเลยล่ะ

   ขั้นตอนที่ 2 : ซับให้แห้ง

          ซับผมให้แห้งด้วยผ้าขนหนู หรือผ้าไมโครไฟเบอร์ซึ่งซึมซับน้ำได้ดี การซับผมให้แห้งสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในเส้นผมได้ ดีต่อสุขภาพมากกว่าการการใช้ไดร์เป่าผมที่จะนำความชุ่มชื้นบางส่วนออกไป ตามหลักการทำผมที่ดี คุณควรจะซับผมให้แห้งอย่างน้อย ร้อยละ 70 ขึ้นไป ก่อนลงมือเป่าผมให้แห้งด้วยไดร์เป่าผมค่ะ

   ขั้นตอนที่ 3 : ใส่เซรั่มเพื่อบำรุง

          ช่วงที่ผมแห้งหมาด ๆ หลังการซับด้วยผ้าเช็ดผม ให้ใส่เซรั่มบำรุงผมสูตรที่ต้องการ เช่นสูตรเพิ่มความเงางาม สูตรผมไม่ชี้ฟู หรือสูตรปกป้องเส้นผมจากความร้อน พร้อมกับหยดอาร์กันออยล์ลงไปด้วยเล็กน้อย ส่วนผสมเพียงปริมาณเล็ก ๆ ในขั้นตอนนี้จะช่วยให้เส้นผมของคุณชุ่มชื้น อันจะช่วยให้เปล่งประกายเงางามได้มากขึ้นนั่นเอง

   ขั้นตอนที่ 4 : แบ่งผมออกเป็น 4 ส่วน

          แบ่งผมออกเป็น 4 ส่วน เพื่อให้ง่ายต่อการเซ็ตผม โดยแบ่งเป็นครึ่งหน้าศีรษะ 2 ส่วน และครึ่งหลังศีรษะอีก 2 ส่วน

   ขั้นตอนที่ 5 : ลงมือเซ็ตผม

          ใช้ไดร์เป่าผมกับหวีแปรงแบบกลมในการเซ็ตผม โดยใช้หวีแปรงหวีช้อนขึ้นมา แล้วใช้ไดร์เป่าทำมุมเอน ๆ เป่าที่ไปกลุ่มผมนั้นจากด้านบน ด้วยวิธีการใช้หวีกลมแบบนี้จะทำให้ผมของคุณดูมีวอมลุ่มดีด้วย และหากต้องการให้ปลายผมงุ้มเข้าเล็กน้อย ให้หมุนหวีแปรงไปด้วยขณะที่หวีไปเกือบสุดปลายผม ไล่ทำไปเรื่อย ๆ จนทั่วทั้งศีรษะ

   ขั้นตอนที่ 6 : ฉีดสเปรย์เพิ่มความเงางาม

          หลังเสร็จจากการไดร์ผมแล้ว ให้ฉีดสเปรย์เพิ่มความเงางามเป็นการตบท้าย เท่านี้คุณก็จะได้ผมที่สลวยเป็นประกายเงางามทั้งวันแล้ว

          เรื่องการสระและการเซ็ตผม เป็นเรื่องที่สาว ๆ ทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่หากได้ทำตามขั้นตอนเหล่านี้ด้วย สาว ๆ ก็จะได้มีผมที่เงางามเปล่งประกายได้เป็นประจำทุกวันเลยล่ะค่ะ

บทความสุขภาพที่เีกี่ยวข้อง