SUPER FOODS ของคนวัยทอง

"ซูเปอร์ฟู้ดส์" เป็นอาหารที่จัดอยู่ในประเภทอาหารฟังก์ชั่น (Functional foods) 
คือ อาหารที่ทำหน้าที่นอกเหนือจากการให้สารอาหารพื้นฐานที่ร่างกายต้องการ โดยมีองค์ประกอบพิเศษช่วยเสริมสุขภาพและป้องกันโรค เช่น ใยอาหาร สารแอนติออกซิแดนต์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ สารพฤษเคมี จุลินทรีย์หรือสารพรีไบโอติกส์ ซึ่งเป็นสารของจุลินทรีย์ที่ดีและอื่นๆ อีกมากมาย 
5 Super Foods ของคนวัยทอง ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้หญิงวัยทองควรรับประทานซูเปอร์ฟู้ด 5 ชนิดต่อไปนี้อยู่เป็นประจำ

1. เต้าหู้ 

โปรตีนสูงจาก ถั่วเหลืองใช้แทนเนื้อสัตว์ได้ดี โปรตีนถั่วเหลืองช่วยลดคอเลสเทอรอล ป้องกันโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังมีสารไฟโตเอสโตรเจน ป้องกันมะเร็ง กระดูกพรุน และลดอาการของหญิงวัยหมดประจำเดือน เช่น ร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวน เป็นต้น (เต้าหู้ 1 ถ้วยตวงให้พลังงาน ประมาณ 180 กิโลแคลอรี)

2. ถั่วเมล็ดแห้ง 

เช่น ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเนวี ถั่วเขียว บรรดาถั่วเมล็ดแห้งมีใยอาหารสูงมาก โดยเฉพาะใยอาหารชนิดละลายน้ำ มีรายงานการวิจัยว่า ใยอาหารช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และผนังลำไส้โป่งพอง ผู้หญิงควรได้รับใยอาหารประมาณวันละ 30 กรัม นอกจากนี้ถั่วประเภทนี้ยังมีแมกนีเซียมสูงโดยเฉพาะถั่วดำ ถั่วดำสุก 1 ถ้วยตวงให้แมกนีเซียม120 มิลลิกรัมจากความต้องการ 320 มิลลิกรัมต่อวัน ผู้ใหญ่ที่ได้รับแมกนีเซียมจากอาหารไม่เพียงพอจะมีระดับสารซีอาร์พี (CRP)
ในเลือดสูงทำให้เกิดการอักเสบภายในร่างกายได้ง่าย

3. บลูเบอร์รี่ 

เป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์แอนติออกซิแดนท์อยู่ในอันดับต้นๆ งานวิจัยล่าสุดรายงานว่าอาจช่วยลดความจำเสื่อมระยะสั้น โดยบลูเบอร์รี่สด 1/2 ถ้วยตวง ให้พลังงานเพียง 40 กิโลแคลอรี

4. โยเกิร์ต 

มีไขมันต่ำ แต่มีแคลเซียมและโพแทสเซียมสูงกว่านม แคลเซียมและโพแทสเซียมช่วยลดความดันโลหิต แคลเซียมช่วยป้องกันกระดูกพรุน และลดน้ำหนัก ในโยเกิร์ตยังประกอบไปด้วยจุลินทรีย์ชนิดดี เช่น แล็คโทแบซิลัส และแอซิโดฟิลัสช่วยเพิ่มภูมิต้านทานและกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร ป้องกันการติดเชื้อยีสต์ และการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ

5. อะโวคาโด 

ประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินอี และมีไขมันชนิดดี คือ กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวในปริมาณมากเช่นเดียวกับน้ำมันมะกอก ช่วยให้ผมและผิวมีสุขภาพดี สำหรับผู้ที่ชอบทานอโวคาโด อาจใช้แทนน้ำสลัดข้นๆ หรือมายองเนส โดยอโวคาโด 1/2 ถ้วยตวง ให้พลังงานประมาณ 80 กิโลแคลอรี

ซูเปอร์ฟู้ดส์หลากหลายชนิดที่แนะนำนี้ คงกลายเป็นเมนูสุขภาพที่หมุนเวียนบนโต๊ะอาหารของคุณได้ไม่รู้เบื่อใช่ไหมค่ะ เพื่อเพิ่มพลัง ลดโรค และเป็นรากฐานสู่การมีอายุยืนยาวอย่างมีสุขภาพที่ดี


10 วิธีหนีสมองฟ่อ

สมอง อวัยวะที่ถูกใช้กันทุกนาที ทุกวัน ทำงานแบบไม่มีวันหยุด สักวันหนึ่งถ้าเราไม่รีบหันมาดูแลใส่ใจคงต้องแย่แน่ๆ ถ้าอยากให้สมองคุณมีความคิดดีๆเกิดขึ้นเรื่อยๆ และแข็งแรงตลอดไป มาลองทำ 10 วิธีให้สมองคุณสดชื่นและคิดอะไรดีๆ ได้ตลอดไปกันดู 


10 วิธีหนีสมองฟ่อ
1.ดื่มน้ำให้มากพอ สมองของเราประกอบด้วยน้ำมากถึง 85%ดังนั้น ถ้าร่างกายขาดน้ำเมื่อไหร่ สมองก็จะเฉื่อยชาช้าลงทันที ส่งผลให้คุณคิดอะไรไม่ค่อยออกคิดช้า แต่การดื่มน้ำนั้น ในแต่ละคนจะมีความต้องการต่างกันซึ่งขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัว การเคลื่อนไหว การบริโภคและพฤติกรรมต่างๆ แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ใหญ่ควรดื่มน้ำวันละ 3-5 ลิตรส่วนเด็ก 2-3 ลิตรก็พอ 

2.หายใจให้ลึกๆ เพราะจะช่วยส่งพลังงานไปให้ถึงสมอง ยิ่งถ้าคุณกำลังนั่งอยู่ด้วยล่ะก็ ควรนั่งให้หลังตั้งตรงเพราะจะช่วยเพิ่มออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้นแต่ ถ้าจำเป็นต้องนั่งนานๆ ก็ควรเปลี่ยนอิริยาบถยืดเส้น ยืดสายบ้าง เพื่อให้ปอดขยาย

3.หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ จะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ไปกระตุ้นให้จิตใจสว่างสดใสและช่วยดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต

4.เลือกรับประทานอาหาร เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันดีเพื่อมาทดแทนไขมันสมองในส่วนที่ สึกหรอ เช่น น้ำมันปลา สารสกัดจากใบแปะก๊วย ปลาแซลมอน อีฟนิ่งพริมโรส และวิตามินซี

5.ออกกำลังกาย แน่นอนอยู่แล้วการออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายคุณแข็งแรงขึ้นอย่างแน่ นอนสมองก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีการออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองด้วย

6. ฝึกสมาธิให้สมองผ่อนคลาย เป็นการช่วยไม่ให้คุณและสมองเกิดการฟุ้งซ่าน ที่สำคัญจะช่วยให้มีจินตนาการดีๆ และมีความคิดสร้างสรรค์ สามารถเลือกทำได้ทั้งตื่นนอนตอนเช้าหรือก่อนนอนทุกวัน

7. รู้จักให้อภัยและลดความโกรธ ความโกรธเหมือนเป็นของเสียและความร้อนทางอารมณ์ที่ไม่ควรเก็บไว้นาน หรือไม่ให้เกิดขึ้นได้เลยยิ่งดี เพราะความโกรธจะทำให้สูญเสียพลังงานมากขึ้น และสมองก็จะรับภาระทางความคิดมากขึ้นตามไปด้วย

8.หาอะไรใหม่ๆ ให้ชีวิต อย่างการรู้จักคนใหม่ๆ อ่านหนังสือเล่มใหม่ เปลี่ยนเส้นทางการขับรถใหม่ หรือแลกเปลี่ยนทัศนคติใหม่ๆ กับเพื่อน สมองจะหลั่งสารแห่งความสุข (เอ็นดอร์ฟิน) และสารแห่งการเรียนรู้ โดปามีน ทำให้เกิดการอยากเรียนรู้อย่างมีความสุข

9.เก็บบันทึกเรื่องราวดีๆ  ในแต่ละวันลง หน้ากระดาษ จะช่วยทำให้สมองคิดในเชิงบวก และจดจำเรื่องราวดีๆ ในแต่ละวัน เปิดอ่านครั้งใดก็สดชื่น

10.พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนคือการพักผ่อนที่ดีที่สุดและยังเป็นการยืดอายุให้สมองเราไปนานแสนนาน

10 วิธีชาร์จพลังให้ตัวเอง

คุณเคยเป็นเช่นนี้หรือไม่...ตื่นขึ้นมาในเช้าวันจันทร์ แล้วภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นเช้าวันอาทิตย์อีกครั้ง เพราะเหนื่อยจนโงหัวแทบไม่ขึ้น หรือ ทำงานอยู่ดี  ก็ลานขาดไปเฉย  หยิบเอกสารตัวโน้นไปปนกับตัวนี้ นัดลูกค้าไว้ก็หลง  ลืม  


10 วิธีชาร์จพลังให้ตัวเอง
ถ้าใครอุทานว่า อุ๊ยตาย..อาการที่ว่านั่น ฉันเคยเป็นมาหมดแล้ว ก็อย่าช้าอยู่เลย มาปฏิบัติตามบันได 10 ขั้น ที่จะแนะนำต่อไปนี้ เพื่อฟื้นฟูขุมพลังงานให้คุกรุ่นอีกครั้ง รับรองหลังจากนั้นจะไม่มีอาการก่งก๊งมากล้ำกรายอีกเลย 
 
            เลิกคบกับคาเฟอีน 
 
          แม้การกระตุ้นร่างกายให้คึกคักด้วยเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน จะเป็นที่นิยมทั่วโลก (และคุณก็เป็นคนหนึ่ง) แต่หยุดดีกว่าค่ะ เพราะผลข้างเคียงของกาแฟมีทั้งอาการปวดหัว นอนไม่หลับ และผลเสียต่อระบบประสาท
 
          ทางออกที่เข้าท่ากว่า คือการดื่มชาที่จะกระตุ้นร่างกายให้สดชื่นได้เช่นกัน นอกจากนั้นชายังช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็งได้ด้วย
          
           เลิกบุหรี่ 
 
          คำอธิบายต่อจากนี้ก็คือ ลองอ่านข้างซองของบุหรี่ทุกซองดูจะทราบผลร้ายของมัน
         
           ลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 
      
          จริงอยู่ที่ว่า 1-2 แก้วต่อวัน จะช่วยป้องกันหัวใจล้มเหลว แต่นั่นสำหรับผู้ชายและหญิงสูงวัย ในผู้หญิงสาว  ผลจะตรงข้าม คือเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมให้สูงขึ้น
 
           กินให้พอดี  และเลี่ยงน้ำตาล 

           เพิ่มอาหารเชิงโภชนาการ 

          เช่น ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม วิตามินบีรวม วิตามินซี ฯลฯ ซึ่งแร่ธาตุเหล่านี้ สามารถพบได้ในอาหารธรรมชาติปลอดสารพิษทั่วไป
 
           ทำตัวให้แอ็คทีฟอยู่เสมอ 
 
          ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังเป็นประจำ หรือหมั่นออกไปสัมผัสธรรมชาติที่สดชื่นปลอดโปร่ง
          
           ฝึกโยคะ 
           
          ประมาณวันละ 15 นาที เพื่อให้ร่างกายผ่อนคลายและรับออกซิเจนได้เต็มที่
 
เรียนรู้ที่จะผ่อนคลาย

ไม่ว่าจะเป็นวิธีง่าย ๆ อย่างนั่งหลับตา ไปจนถึงเล่นดนตรี และวิธีสุดฮิตตลอดกาล ก็คือการนอนหลับ โดยอาจอาบน้ำให้สบายตัว หรือดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ ก่อนนอนก็ยิ่งดี

ปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้น่าอยู่


จัดโน่นวางนี่ให้สวยงามสบายตา และสะอาดสดชื่น

อยู่อย่างเป็นสุข

ฟังดูง่ายแต่ยากชะมัด ก่อนอื่นหัวเราะให้ง่าย ๆ เข้าไว้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ยิ้มแย้มแจ่มใส มองโลกเชิงบวกให้มาก ๆ สิ่งเหล่านี้มีผลต่อระบบประสาทโดยตรงทีเดียวค่ะ

ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ วิธีชาร์จพลังงานทั้งสิบข้อ เมื่อพลังงานคืนกลับ ร่างกายกระชุ่มกระชวยแล้วความงามจะไปไหนเสีย ทั้งแข็งแรงทั้งสวย คราวนี้อีกกี่วันจันทร์ก็ไม่เหนื่อยอีกแล้ว...

บทความสุขภาพที่เีกี่ยวข้อง